MAR 25,2006 วันที่สองและวันกลับ
(ยังหาวิธีตั้งเวลาในบล็อคตัวเองไม่เป็น เนื่องจากเป็นคนโลว์ เทคโนโลยีขนาดหนัก เลยต้องตั้งเวลาแบบนี้ไปก่อนค่ะ)
เริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารไทยที่หอบหิ้วมาจากบ้าน ประหยัดไปได้อีกมื้อนึง เจ้าเพื่อนชอบใจเพราะมาเกาหลีแค่สองวัน บ่นกินข้าวไม่อร่อยซะแล้ว สงสัยยังไม่ชิน ส่วนในรูปนี้คือสตรอเบอรี่ลูกโตๆที่ซื้อเอาแถวนี้เอง สด และหวานฉ่ำกว่าที่เมืองไทย 75%
โปรแกรมวันนี้คือเที่ยวในกรุงโซล เริ่มต้นที่พระราชวังเคียงบ็อกกุง ไปถึงเป็นเวลาเปลี่ยนเวรทหารพอดี อากาศกำลังสบาย ชิลๆค่ะ
เราร่วมขบวนกันไกด์ชาวท้องถิ่น โชคดีที่ไปถึงตอนที่มีรอบภาษาอังกฤษพอดี นับว่าไกด์สาวสวยคนนี้พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วกว่าชาวเกาหลีส่วนใหญ่ ชุดยูนิฟอร์มและหน้าตาก็น่ารักจิ้มลิ้มสมกับที่จะมาต้อนรับแขกต่างบ้านต่างเมือง
รูปนี้เป็นหอตำรายาของน้องแดจังกึมค่ะ ตั้งอยู่กลางสระน้ำ
ต่อจากนั้นเราก็เดินทางต่อมายังพระราชวังชางด็อกกุงที่มีสวนต้องห้ามอันลือชื่อ อันพระราชวังแห่งนี้ ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยมากนัก แม้ว่าจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกก็ตาม เนื่องจากการเข้าชม ต้องเข้าชมพร้อมไกด์ เป็นหมู่คณะ ไกด์ที่ทางการจัดให้มีเพียงสามภาษาเท่านั้น คือภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษ แถมพูดได้กระท่อนกระแท่นตามแบบฉบับชาวเกาหลีทั่วไปเสียอีก
สวนต้องห้ามและพระตำหนักต่างๆสวยงามสมชื่อค่ะ
รูปนี้พยายามทำท่าเหมือนดากานดาในเรื่อง เพื่อนสนิท แต่ดูเผินๆแล้ว ออกจะคล้าย เพี้ยนสนิทมากกว่า
นี่คือประตูไม่มีวันแก่หรือ Never get old gate ใครเดินผ่านตรงนี้แล้วจะอายุยืน (เขาว่ากันอย่างนั้น)
ตกเย็น สองพี่น้องก็ชวนกันไปเดินจับจ่ายสตรอเบอรรี่ที่ตลาดนัมแดมุนค่ะ ที่เห็นด้านหลังคือ ประตูเมืองนัมแดมุน เป็นภาพที่ค่อนข้างชินตาของเมืองเกาหลี สำหรับอาคารแบบเก่า กับตึกสมัยใหม่
เช่นเดียวกันกับคนเกาหลี ที่ถึงจะมีเทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างไร แต่ก็ยังยึดติดกับขนบเก่าๆอยู่มาก พูดแล้วขอแอบนินทาหน่อยเถอะ จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเทคโนโลยีเกาหลีที่เห็นก้าวหน้าเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาพัฒนาขึ้นมาเองหรอกค่ะ แต่ซื้อของสำเร็จรูปมาจากรัสเซีย แล้วแปะตราเกาหลีเอาอย่างนั้นเอง ส่วนเงินทุนหมุนเวียนในการกรช่อร่างสร้างประเทศหลังสงครามก็ได้มาจากอเมริกาในช่วงสงครามเย็น คนเกาหลีจริงๆแล้วจึงผ่านความรู้สึกกดดันจากช่วงสงคราม อีกทั้งยังต้องผ่านการดิ้นรนขวนขวาย ขับเคี่ยวกับชาวต่างชาติที่เข้ามากระทำย่ำยีเป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายร้อยปี ชาวเกาหลีจึงมีนิสัยตรงๆ บางทีก็มีการกระทำบางอย่างที่คนไทยเรารับไม่ค่อยจะได้ ที่สำคัญคนเกาหลีเกลียดคนต่างชาติมากๆ และภูมิใจกับสายเลือดเกาหลีบริสุทธิของตัวเองมากๆด้วย ข้อดีของชาวเกาหลีก็มีเหมือนกันนะคะ เช่นรักพวกพ้อง รักเพื่อนร่วมชาติ มีความเป็นชาตินิยมมากๆ (บางทีก็เกินไป)แถมยังทำงานหนัก ขยันขันแข็งตลอดเวลา คนไทยเราทำอะไรช้าๆ ใจเย็นๆ เรียบร้อยแบบนี้ คนเกาหลีเขาไม่ได้มองว่าดีงามแบบของเราหรอกนะ เขามองว่าขี้เกียจต่างหาก ฉันมาอยู่เกาหลีตอนแรกๆ ก็ทำใจไม่ค่อยได้ แต่ตอนนี้ ชินแล้วค่ะ
หมดวัน เราไปกินมื้อเย็นกันที่ร้านซุปมันฝรั่ง หรือเรียกเป็นภาษาเกาหลีว่าคัมจาทัง กินเสร็จแล้วได้ซี่โครงมาทั้งกอง ดูน่ากลัว แต่ก็อร่อยมากค่ะ
ได้เวลาพาน้องสาวสุดที่รักกลับบ้านเสียที....
Monday, March 27, 2006
Friday, March 24, 2006
พาน้องเที่ยวเกาหลี ตอนที่ 1
ทำงานกับสายการบินเกาหลีมาสองปี มีคนถามเยอะแยะว่าเคยพาพ่อแม่ไปเที่ยวเกาหลีบ้างไหม คำตอบก็คือไม่เคยเลยค่ะ เพราะถึงแม้ว่าฉันจะได้สวัสดิการตั๋วฟรีปีละครั้ง ตั๋วลดราคาตามข้อตกลงของสายการบินอีกไม่จำกัดจำนวน แต่เวลาเดินทางจริง ตั๋วทั้งหมดจะเป็นตั๋ว Stand-by นั่นหมายความว่า ยังไงก็ต้องให้ลูกค้าของสายการบินไปก่อนอยู่แล้ว พวกตั๋วพนักงานประเภทต่างๆต้องรอไปก่อน ไม่ค่อยได้ไปไหนกับเขา นอกจากนี้เวลาเดินทางเขาให้เราแต่ตั๋ว เราต้องหาที่พัก และวางแผนเที่ยวเอง ฉันไม่อยากให้พ่อแม่ต้องมาตกระกำลำบากกับทัวร์ไม่รู้อนาคตแบบฉัน ฉันเลยสมัครใจให้แม่ไปเที่ยวกับทัวร์ราชภัฏ ซึ่งจัดอยู่เป็นประจำ ให้แม่ไปกับบรรดาอาจารย์ผองเพื่อนของแม่จะดีกว่า อีกประการหนึ่ง อันนี้สำคัญที่สุดค่ะ คือตอนนี้บ้านเรายังจนอยู่ !!! สู้เก็บสตางค์ไว้ผ่อนบ้าน ผ่อนที่ และสินทรัพย์ประดามีที่แม่ซื้อไว้จะดีกว่า แม่บอกว่าแม่เที่ยวกับสถาบันปีละหนก็พอแล้ว ไม่ได้อยากไปไหนไกลกว่านี้เลย
เอาก็เอา ! แม่ไม่อยากไปไหนก็ตามใจแม่
มาปีนี้แม่ใจดีเพราะแม่เพิ่งขายบ้านได้สองหลัง พร้อมๆกับพ่อได้สตางค์เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ที่รับผิดชอบอยู่ ประกอบกับฉันเพิ่งแลกไฟลท์บินกับลูกหมีเพื่อนรักได้สำเร็จ ฉันจะได้มีแพทเทิร์นบิน BKK-ICN-DAFF-BKK รวมแล้วอยู่เกาหลีสองวันครึ่ง ทำงาน on duty ค่าที่พักไม่ต้องเสีย แถมรับผิดชอบไฟลท์ทั้งขาไป และขากลับ ไม่ต้องไปบินต่อที่ประเทศไหน ฤกษ์งามยามเหมาะขนาดนี้ ฉันเลยเสนอโครงการพาน้องไปเที่ยวเกาหลี เนื่องจากตอนนี้มันบ้าแดจังกึมเหลือเกิน พาไปเที่ยวซะให้หายอยาก เจ้าน้องสาวคนนี้มันไม่เคยไปเที่ยวไหนไกล นอกจากโรงเรียน บ้าน และหอที่นครนายก แม่เลยห่วงเป็นพิเศษ คราวนี้มีพี่ที่แสนโฉดอย่างฉันพาไปเอง แม่เลยวางใจให้ไป ไม่ต้องกลัวใครจะมาหลอกน้องไปขาย แอบน้อยใจเล็กๆเหมือนกันว่าทำไมเวลาฉันไปบินร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แม่ไม่เห็นห่วงขนาดนี้เลย
เจ้าเพื่อนท่าทางตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ขึ้นเครื่องบินมาต่างประเทศหนแรก เห็นนั่งมองริมหน้าต่างอย่างตื่นเต้น ไอ้ฉันมันนั่งเครื่องบินจนเบื่อ เลยลืมความรู้สึกแบบนี้ไปแล้ว ก่อนเข้าเมือง น้องเพื่อนมีปัญหานิดหน่อยเพราะด่านตรวจที่เกาหลีมันสงสัยว่ามาทำอะไรที่เกาหลีคนเดียว โชคดีทีได้ผู้จัดการไฟลท์แสนประเสริเฐ (ตาปาร์ค ชอง ฮัก) ช่วยเหลือ และมีฉันเป็นผู้รับผิดชอบการเดินทางมาครั้งนี้ น้องสาวเลยรอดตัวไป หลังจากที่พาน้องฝ่าด่านตม.แสนหฤโหดอันเลื่องชื่อของเกาหลี ฉันก็พาน้องมาเก็บขอที่โรงแรม และพาออกตะลุยแดนโสมกันเลย
เริ่มมื้อแรกของวันที่ picnic areaค่ะ ซื้อของกินจากร้านสะดวกซื้อใส่เป้มากิน ทางสวนสนุกจักบริเวณไว้ให้เรารับประทานอาหารกันได้ตามสะดวก
วันแรกเราเลือกไปเที่ยวเอเวอร์แลนด์ สวนสนุกขนาดใหญ่ยักษ์ของเกาหลี ตั้งอยู่ที่เมืองซูวอน ภายในนอกจากจะมีสวนสนุกแล้ว ยังมีสวนสัตว์ สวนน้ำ ทั้งสระน้ำอุ่น และสระน้ำเย็น มีลานสกี รีสอร์ท และบริการต่างๆให้มาเที่ยวชม ถ้าจะเที่ยวให้ทั่วจริงๆ ฉันคิดว่าสามวันก็เที่ยวไม่หมด ฉันเลยเลือกที่จะเดินเที่ยวแค่บริเวณ สวนสัตว์ และสวนสนุกเท่านั้น แค่นี้ก็ปาเข้าไปหมดวันซะแล้ว
บริเวณสวนสัตว์ค่ะ ที่จริงมีสัตว์มากมายหลายชนิด แต่ไม่ได้เอารูปมาลงเพราะเยอะจนเลือกไม่ถูกเลย
น้องเพื่อนกับไอศครีมรสบลู ฮาวาย โคโคนัท แสนอร่อย แต่ฉันแอบแซวว่าเหมือนกะทิบูด
ไม่เข้าใจว่าอากาศหนาวขนาดนี้ แต่ทนกินไอศครีมอยู่ได้ยังไง
ภาพสวยๆ บรรยากาศแบบฤดูใบไม้ร่วงค่ะ เบื้องหลังของภาพคือมีคู่รักหนุ่มสาวชาวเกาหลียืนโปรยกระดาษรูปดอกไม้ให้ข้างๆ
บริเวณหมู้บ้านนิทานอีสป และยูโร เฟสติวัลค่ะ สวยจริงๆ
ข้อดีของการเลือกที่จะมาเที่ยวเอง คือเราสามารถเลือกที่จะเที่ยว หรือไม่เที่ยวที่ไหนก็ได้ตามที่เราต้องการ เราเลือกที่จะเที่ยวนานๆในที่ที่เราชอบ และเลือกที่จะกินอาหารแบบที่เราต้องการได้ ข้อเสียคือเราต้องยอมสละความสะดวกสบายโดยเฉพาะในเรื่องของการเดินทาง จำเป็นต้องขึ้นรถ ลงเรือ พึ่งพา public transportation แต่ถ้าทำใจกับตรงนี้ได้ เราก็สามารถเที่ยวแบบแบ็คแพ็คได้อย่างสนุกสนาน และสบายใจค่ะ
ตบท้ายมื้อเย็นด้วยหมูย่างเกาหลีแบบของแท้และดั้งเดิม เครื่องเคราครบถ้วน น่ากินค่ะ แต่น้องเพื่อนบอกว่ารสชาติไม่ไหวเลยจริงๆ
คงเป็นเพราะมาต่างประเทศใหม่ๆ ลิ้นเลยยังไม่คุ้นเคยกับอาหารแปลกๆ เลยทนกับอาหารเกาหลีไม่ค่อยได้
เอาก็เอา ! แม่ไม่อยากไปไหนก็ตามใจแม่
มาปีนี้แม่ใจดีเพราะแม่เพิ่งขายบ้านได้สองหลัง พร้อมๆกับพ่อได้สตางค์เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ที่รับผิดชอบอยู่ ประกอบกับฉันเพิ่งแลกไฟลท์บินกับลูกหมีเพื่อนรักได้สำเร็จ ฉันจะได้มีแพทเทิร์นบิน BKK-ICN-DAFF-BKK รวมแล้วอยู่เกาหลีสองวันครึ่ง ทำงาน on duty ค่าที่พักไม่ต้องเสีย แถมรับผิดชอบไฟลท์ทั้งขาไป และขากลับ ไม่ต้องไปบินต่อที่ประเทศไหน ฤกษ์งามยามเหมาะขนาดนี้ ฉันเลยเสนอโครงการพาน้องไปเที่ยวเกาหลี เนื่องจากตอนนี้มันบ้าแดจังกึมเหลือเกิน พาไปเที่ยวซะให้หายอยาก เจ้าน้องสาวคนนี้มันไม่เคยไปเที่ยวไหนไกล นอกจากโรงเรียน บ้าน และหอที่นครนายก แม่เลยห่วงเป็นพิเศษ คราวนี้มีพี่ที่แสนโฉดอย่างฉันพาไปเอง แม่เลยวางใจให้ไป ไม่ต้องกลัวใครจะมาหลอกน้องไปขาย แอบน้อยใจเล็กๆเหมือนกันว่าทำไมเวลาฉันไปบินร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แม่ไม่เห็นห่วงขนาดนี้เลย
เจ้าเพื่อนท่าทางตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ขึ้นเครื่องบินมาต่างประเทศหนแรก เห็นนั่งมองริมหน้าต่างอย่างตื่นเต้น ไอ้ฉันมันนั่งเครื่องบินจนเบื่อ เลยลืมความรู้สึกแบบนี้ไปแล้ว ก่อนเข้าเมือง น้องเพื่อนมีปัญหานิดหน่อยเพราะด่านตรวจที่เกาหลีมันสงสัยว่ามาทำอะไรที่เกาหลีคนเดียว โชคดีทีได้ผู้จัดการไฟลท์แสนประเสริเฐ (ตาปาร์ค ชอง ฮัก) ช่วยเหลือ และมีฉันเป็นผู้รับผิดชอบการเดินทางมาครั้งนี้ น้องสาวเลยรอดตัวไป หลังจากที่พาน้องฝ่าด่านตม.แสนหฤโหดอันเลื่องชื่อของเกาหลี ฉันก็พาน้องมาเก็บขอที่โรงแรม และพาออกตะลุยแดนโสมกันเลย
เริ่มมื้อแรกของวันที่ picnic areaค่ะ ซื้อของกินจากร้านสะดวกซื้อใส่เป้มากิน ทางสวนสนุกจักบริเวณไว้ให้เรารับประทานอาหารกันได้ตามสะดวก
วันแรกเราเลือกไปเที่ยวเอเวอร์แลนด์ สวนสนุกขนาดใหญ่ยักษ์ของเกาหลี ตั้งอยู่ที่เมืองซูวอน ภายในนอกจากจะมีสวนสนุกแล้ว ยังมีสวนสัตว์ สวนน้ำ ทั้งสระน้ำอุ่น และสระน้ำเย็น มีลานสกี รีสอร์ท และบริการต่างๆให้มาเที่ยวชม ถ้าจะเที่ยวให้ทั่วจริงๆ ฉันคิดว่าสามวันก็เที่ยวไม่หมด ฉันเลยเลือกที่จะเดินเที่ยวแค่บริเวณ สวนสัตว์ และสวนสนุกเท่านั้น แค่นี้ก็ปาเข้าไปหมดวันซะแล้ว
บริเวณสวนสัตว์ค่ะ ที่จริงมีสัตว์มากมายหลายชนิด แต่ไม่ได้เอารูปมาลงเพราะเยอะจนเลือกไม่ถูกเลย
น้องเพื่อนกับไอศครีมรสบลู ฮาวาย โคโคนัท แสนอร่อย แต่ฉันแอบแซวว่าเหมือนกะทิบูด
ไม่เข้าใจว่าอากาศหนาวขนาดนี้ แต่ทนกินไอศครีมอยู่ได้ยังไง
ภาพสวยๆ บรรยากาศแบบฤดูใบไม้ร่วงค่ะ เบื้องหลังของภาพคือมีคู่รักหนุ่มสาวชาวเกาหลียืนโปรยกระดาษรูปดอกไม้ให้ข้างๆ
บริเวณหมู้บ้านนิทานอีสป และยูโร เฟสติวัลค่ะ สวยจริงๆ
ข้อดีของการเลือกที่จะมาเที่ยวเอง คือเราสามารถเลือกที่จะเที่ยว หรือไม่เที่ยวที่ไหนก็ได้ตามที่เราต้องการ เราเลือกที่จะเที่ยวนานๆในที่ที่เราชอบ และเลือกที่จะกินอาหารแบบที่เราต้องการได้ ข้อเสียคือเราต้องยอมสละความสะดวกสบายโดยเฉพาะในเรื่องของการเดินทาง จำเป็นต้องขึ้นรถ ลงเรือ พึ่งพา public transportation แต่ถ้าทำใจกับตรงนี้ได้ เราก็สามารถเที่ยวแบบแบ็คแพ็คได้อย่างสนุกสนาน และสบายใจค่ะ
ตบท้ายมื้อเย็นด้วยหมูย่างเกาหลีแบบของแท้และดั้งเดิม เครื่องเคราครบถ้วน น่ากินค่ะ แต่น้องเพื่อนบอกว่ารสชาติไม่ไหวเลยจริงๆ
คงเป็นเพราะมาต่างประเทศใหม่ๆ ลิ้นเลยยังไม่คุ้นเคยกับอาหารแปลกๆ เลยทนกับอาหารเกาหลีไม่ค่อยได้
Monday, March 20, 2006
ยำแหนม
วันนี้นายต้น หรือหมาย้วยของฉันไปเที่ยวสิงคโปร์กับที่ทำงานค่ะ แอบอิจฉานิดหน่อยว่าที่ทำงานเขาดีจังเลย พาคนไปเที่ยวต่างประเทศด้วย ก่อนไปหมาย้วยมาขอยิมหมวก ก็เลยให้เขาเลือกไปใบนึง รูปนี้ถ่ายตอนที่ต้นกำลังเลือกหมวกอยู่ มองเผินๆเหมือนอาแปะชาวเกาหลีเลย กรรมของฉันจริงๆจะมีแฟนสักคน ยังหน้าตาเหมือนเกาหลีอีก
อาแปะค่ะ ยิ้มเหมือนแป๊ะยิ้มเลย
ด้วยความที่มีเวลาว่างมากมายเหลือเฟือ ฉันกับน้องเพื่อนจึงตกลงกันว่าจะไปซื้อยำแหนมมหัศจรรย์มากิน ร้านนี้มหัศจรรย์ตรงที่ยำแหนมอร่อยไม่เหมือนใคร แถมคนขายก็ยังมีเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเองสุดๆ เราเรียกแกว่าป้าแหนม ทั้งที่จริงๆแล้วแกชื่อว่าป้าใหญ่ ร้านยำแหนมข้างทางของป้าขายแต่ยำแหนมข้าวทอดมาเป็นเวลานานกว่า 16 ปีแล้ว ป้าใหญ่ขายแต่ยำแหนมเท่านั้น อาหารอย่างอื่นไม่มีขาย ป้ามีความเป็ศิลปินสูงมาก ใครอยากซื้อต้องรอคิว ไม่มีการลัดคิวให้เด็ดขาด คนซื้อยำแหนมเยอะมากจนต้องแจกบัตรคิว ป้าแจกบัตรคิวตั้งแต่บ่ายสามโมง แต่เปิดขายจริงเกือบสามทุ่ม ใครบังอาจมาลัดคิวกับแกไม่ได้ ถ้าเร่งมากๆแกไล่กลับไป ไม่ก็ไล่ให้ไปซื้อร้านอื่นแถวๆนั้น น่าแปลกที่ลูกค้าที่รอคิวกันอยู่ ไม่มีใครบ่นกันสักคน ทั้งๆที่คิวก็ยาวกว่าล็อตตี้ บอย
นี่แหละค่ะ ป้าใหญ่ ยำแหนมข้าวทอด รูปนี้ฉันถ่ายโดยใช้โทรศัพท์มือถือ เลยไม่ค่อยชัด แต่ได้บรรยากาศที่ร้าน
ป้ายำแหนมแกมีสั่งทางโทรศัพท์และdeliveryแบบอาหารจานด่วนด้วย ลูกค้าป้ายำแหนมมีทุกกลุ่มอาชีพ ตั้งแต่พยาบาล ตำรวจ แม่บ้าน นักศึกษา หมอนวด นักร้อง ยาม สาวโรงงาน ฯลฯ ดาราดังๆก็มาเป็นลูกค้าที่นี่หลายคน บางทีแกส่งยำแหนมเข้าไปในกองถ่ายด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยมีรูปดาราดังๆมาติดตามร้านเหมือนร้านดังร้านอื่นที่ชอบเอารูปดารามาติด ป้าแกเป็นคนคุยเก่ง ลูกค้ามาซื้อของก็มานั่งกันหน้าสลอนฟังแกคุยเหมือนมาดูเดี่ยวไมโครโฟน แต่ยอมรับว่ารอคิวนานจริงๆ ฉันโทรสั่งบัตรคิวตั้งแต่เวลาประมาณสองทุ่ม กว่าจะได้แหนมแสนอร่อยมาเป็นของตัวเอง ก็ตั้งห้าทุ่มกว่า
น่าทานไหมคะ ยำแหนมข้าวทอด พร้อมผักสดครบชุด กินกับเป๊ปซี่ เข้ากันสุดๆ
อาแปะค่ะ ยิ้มเหมือนแป๊ะยิ้มเลย
ด้วยความที่มีเวลาว่างมากมายเหลือเฟือ ฉันกับน้องเพื่อนจึงตกลงกันว่าจะไปซื้อยำแหนมมหัศจรรย์มากิน ร้านนี้มหัศจรรย์ตรงที่ยำแหนมอร่อยไม่เหมือนใคร แถมคนขายก็ยังมีเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเองสุดๆ เราเรียกแกว่าป้าแหนม ทั้งที่จริงๆแล้วแกชื่อว่าป้าใหญ่ ร้านยำแหนมข้างทางของป้าขายแต่ยำแหนมข้าวทอดมาเป็นเวลานานกว่า 16 ปีแล้ว ป้าใหญ่ขายแต่ยำแหนมเท่านั้น อาหารอย่างอื่นไม่มีขาย ป้ามีความเป็ศิลปินสูงมาก ใครอยากซื้อต้องรอคิว ไม่มีการลัดคิวให้เด็ดขาด คนซื้อยำแหนมเยอะมากจนต้องแจกบัตรคิว ป้าแจกบัตรคิวตั้งแต่บ่ายสามโมง แต่เปิดขายจริงเกือบสามทุ่ม ใครบังอาจมาลัดคิวกับแกไม่ได้ ถ้าเร่งมากๆแกไล่กลับไป ไม่ก็ไล่ให้ไปซื้อร้านอื่นแถวๆนั้น น่าแปลกที่ลูกค้าที่รอคิวกันอยู่ ไม่มีใครบ่นกันสักคน ทั้งๆที่คิวก็ยาวกว่าล็อตตี้ บอย
นี่แหละค่ะ ป้าใหญ่ ยำแหนมข้าวทอด รูปนี้ฉันถ่ายโดยใช้โทรศัพท์มือถือ เลยไม่ค่อยชัด แต่ได้บรรยากาศที่ร้าน
ป้ายำแหนมแกมีสั่งทางโทรศัพท์และdeliveryแบบอาหารจานด่วนด้วย ลูกค้าป้ายำแหนมมีทุกกลุ่มอาชีพ ตั้งแต่พยาบาล ตำรวจ แม่บ้าน นักศึกษา หมอนวด นักร้อง ยาม สาวโรงงาน ฯลฯ ดาราดังๆก็มาเป็นลูกค้าที่นี่หลายคน บางทีแกส่งยำแหนมเข้าไปในกองถ่ายด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยมีรูปดาราดังๆมาติดตามร้านเหมือนร้านดังร้านอื่นที่ชอบเอารูปดารามาติด ป้าแกเป็นคนคุยเก่ง ลูกค้ามาซื้อของก็มานั่งกันหน้าสลอนฟังแกคุยเหมือนมาดูเดี่ยวไมโครโฟน แต่ยอมรับว่ารอคิวนานจริงๆ ฉันโทรสั่งบัตรคิวตั้งแต่เวลาประมาณสองทุ่ม กว่าจะได้แหนมแสนอร่อยมาเป็นของตัวเอง ก็ตั้งห้าทุ่มกว่า
น่าทานไหมคะ ยำแหนมข้าวทอด พร้อมผักสดครบชุด กินกับเป๊ปซี่ เข้ากันสุดๆ
Saturday, March 18, 2006
ทัวร์ พระนคร
เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ฉันได้มีโอกาสไปทัวร์พระนครกับน้องเพื่อน น้องสาวสุดที่รัก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า'ติสท์อารมณ์ไหน ถึงได้ชวนกันไปเที่ยววัดพระแก้วกันสองคน มาคราวนี้น้องเพื่อนหมายมั่นปั้นมือว่า ยังไงก็จะต้องเยี่ยมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทให้ได้
เราออกเดินทางกันแต่เช้า แวะร้าน"ทานข้าวครับ" ขาประจำหน้าปากซอย เป็นมื้อเช้า แล้วถึงได้เดินทางโดนรถแท็กซี่ เพื่อไปยังวัดพระแก้ว
เมื่อไปถึง มีนักท่องเที่ยวหนาตาทีเดียว ทั้งชาวญี่ปุ่น จีน เกาหลี ฝรั่งชาติต่าๆ ไม่เว้นแม้ชาวรัสเซีย (คู่ปรับเก่าของอิฉันเองค่า -_-') น่าแปลกใจนิดเดียวตรงที่ ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ค่อยมีชาวไทยก็ไม่รู้ สงสัยคนไทยมัวแต่ไปตามรอยแดจังกึมอยู่ที่เกาหลีแน่ๆ ช่วงนี้ไฟลท์เกาหลีถึงได้เต็มไปด้วยคนไทยแบบนี้
ที่ไปทัวร์พระนครเนื่องจากฉันอยากไปไหว้พระแก้วมรกตมาตั้งนานแล้ว แต่ยังหาโอกาสเหมาะๆไม่ได้สักที วันนี้เลยถือโอกาสไปไหว้พระ ชมวัดวาอารามให้ใจร่มๆ ออกจากวัดพระแก้วแล้วก็ไปต่อวัดโพธิ์ ฉันชื่นชมหลวงพ่อโตปางไสยาสน์ที่วัดโพธิ์เป็นพิเศษ ต้องหาโอกาสเหมาะๆไปนมัสการท่านทุกปี อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ปีนี้พิเศษหน่อยตรงที่หลังจากนมัสการหลวงพ่อแล้ว ฉันยังได้มีโอกาสนวดแผนไทยถึงถิ่นเลยทีเดียว
ค่านวดเท้าราคา300บาทต่อ 45นาที นับว่าแพงเอาการสำหรับสถานบริการแบบนี้ ดูท่าทางไม่สะอาดสะอ้านเท่าไหร่ ไม่มีแอร์ แล้วก็พนักงานไม่ค่อยดีมาก อาจจะเป็นเพราะฉันและน้องเป็นคนไทย ไม่ใช่ฝรั่งผมทอง พนักงานนวดเลยไม่ค่อยแสดงความสนใจ ร้านนวดที่ฉันเคยไปใช้บริการในราคาถูกกว่านี้ นวดได้ดีกว่านี้ และพนักงานก็บริการดีกว่าด้วย
เสร็จจากกิจกรรมนวด ฉันนั่งแท็กซี่ต่อไปวัดมังกรกมลาวาส เพื่อนมัสการพระพุทธรูป และพระโพธิสัตว์ ฉันไม่เคยไปวัดจีนเลย จึงค่อนข้างสับสนในการไหว้พอสมควร ไม่รู้ว่าควรจะไหว้พระ หรือไหว้เทพเจ้าองค์ไหนอย่างไร ต้องโทรปรึกษาผู้รู้จริง
ที่หน้าวัดมังกรฯมีแม่ค้าหลายคนทั้งที่ตั้งแผงลอย และที่เดินขายของอยู่ เมื่อพวกแม่ค้าเห็นฉันเดินเหมือนจะเข้าไปในวัด ต่างก็มารุมล้อม แกมบังคับให้ฉันซื้อดอกไม้และพวงมาลัยในราคาแพงลิ่ว ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่ทำมาหากินกับวัดวาอารามถึงได้มีลักษณะแบบนี้ ในสายตาของฉันซึ่งเป็นคนไทย บอกตามตรงว่าอายสายตานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอื่นๆที่มองคนไทยด้วยสายตาที่ฉันพูดไม่ถูก เพราะพ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้น ต้อนเราด้วยลักษณะที่ "ไม่ซื้อไม่ได้" ทั้งคำพูดตำจา และการกระทำ น่ากลัวค่ะ น่ากลัวมากๆ
รอบๆวัดมีสินค้าวัตถุมงคลหลากชนิดให้เลือกซื้อหา ฉันพยายามเลือกซื้อปี่เซี๊ยะที่ถูกใจ แจ่ไม่เป็นผลเพราะฉันอยากได้ปี่เซี๊ยะที่ทำจากหินหรือหยก แต่ปี่เซี๊ยะที่ขายแถวๆนั้นมักทำจากเรซิ่น (แต่โกหกคนซื้อว่าเป็นหิน) ฉันพอจะแยกแยะออกว่าเรซิ่นกับหินจริงมันแตกต่างกันอย่างไร ของง่ายๆแค่นี้ใครๆก็ดูออก เถียงกับแม่ค้าก็เห็นจะป่วยการ เลยได้แต่เก็บความเสียดายไว้เงียบๆ มาสำเพ็งคราวนี้ฉันจบท้ายด้วยข้าวต้มแปลงนามแสนอร่อย ไม่ได้กินเสียนาม รสชาติยังคงเดิมแม้คนขายจะดุกว่าเดิมไปบ้าง เราก็ไม่ว่ากัน
สีขาวนี่คือ มูสช็อคโกแล็ตขาวแสนอร่อยค่ะ ไอ้ก้อนข้างๆชื่ออะไรก็จำไม่ได้ จำได้แต่ว่าก้อนนี้แหละที่แผลงฤทธิ์ซะจนหน้าตาบวมเจ่อ
บ่ายสามโมงครึ่งหลังจากเดินสำเพ็งเสร็จ ฉันนั่งรถไฟฟ้าไปเจอนายโอ๊ตกริดที่สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์เพื่อไปยังร้านเชอรูแบง (ไม่แน่ใจว่าอ่านแบบนี้หรือเปล่า) วันนี้เรามีนัดทานขนมจิบชายามบ่ายกับคุณป้าแมวค่ะ โอ๊ตกริดรับประทานบราวนี่ไปหลายชิ้น ฉันเองก็อิ่มอร่อยกับขนมเค้กชนิดต่างๆ ได้ยินป้าแมวเล่าเจ้าของร้านขนมส่งลูกสาวไปเรียนทำขนมถึงที่กอดองเบลอะ สาขาประเทศอังกฤษ ขนมเขาถึงได้นุ่มฉ่ำ ได้ใจลูกค้าขนาดนี้ ประทับใจขนมสโคนที่ป้าแมวสั่งมาให้ทาน ฉันกินเยอะจนออกอาการแพ้ช็อกโกแล็ต หน้าตาบวม ปากเจ่อ คันในคอยิบๆ ตกค่ำจึงไม่สามารถอยู่รอพบหม่าม้าน้องโจเพื่อรับประทานมื้อเย็นที่ร้านจิตรโภชนากันต่อได้
ฉันออกอาการแพ้ช็อคโกแล็ตเยอะกว่าที่เคยเป็น ร้อนถึงนายแม่นก ต้องหอบหิ้วเอากลับมาส่ง ถามว่าเข็ดไหม ยังไม่เข็ดแน่นอนค่ะ เพราะมันอร่อยนี่คะ
Wednesday, March 15, 2006
ซัวสะได เสียมเรียบ
ซัวสะได เสียมเรียบ MAR 12-13,2006
เมื่อวานนี้ฉันเพิ่งกลับมาจากไฟลท์ REP หรือเสียมเรียบค่ะ เพิ่งไปlay-over ครั้งแรก เครื่องที่บินเราใช้เครื่อง A320 ลำใหม่ของบริษัท มีไว้เพื่อบินไฟลท์นี้โดยเฉพาะ ผู้โดยสารที่ขึ้นไฟลท์เขมร ส่วนมากเป็นลุงๆป้าๆชาวเกาหลี มากันเป็นกรุ๊ปทัวร์ ท่าทางก็ไม่บ้านนอกมาก แต่มารยาทการอยู่ร่วมกับผู้โดยสารอื่นก็เหมือนชาวเกาหลีทั่วไปที่ฉันเคยเจอ โดยเฉพาะชาวเกาหลีที่อายุมาก เขาจะมีคาแรคเตอร์แบบที่ไม่เหมือนคนชาติอื่นเลย (ไว้วันหลังฉันจะมาเล่าสู่กันฟังอีกทีนะคะ เรื่องชาวเกาหลี)
หลังจากที่บินจากเกาหลีนานถึง 5ชั่วโมง 40นาที เราก็มาถึงที่หมาย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ เสียมเรียบ อังกอร์ กราวด์สต๊าฟที่นี่เราใช้บริการของการบินไทยค่ะ หน้าตาเหมือนชาวไทยแถบอีสานบ้านเรา แต่อย่าเผลอพูดภาษาไทยใส่เขาเชียว เพราะเขาฟังเราไม่รุ้เรื่องหรอก สนามบินที่นี่ขนาดเล็กใกล้เคียงกับสนามบินอู่ตะเภา คงไม่ค่อยมีเครื่องมาลงจอด จากเครื่องบิน เราต้องเดินลงบันได แล้วเดินเข้าสู้ตัวอาคารเอง เพราะที่นี่ไม่มีเจ็ทบริจด์ หรืองวงช้างให้เราเดินสู่ตัวอาคารได้เหมือนสนามบินใหญ่ๆ
ห้องพักในโรงแรมค่ะ
เราพักกันที่โรงแรม Le Meridian Angkor ค่ะ สวยงามหรูหรา ห้าดาวมากๆ เท่าที่ดู คงเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดของที่นี่ พนักงานที่นี่หน้าตาดี ท่าทางสุภาพเรียบร้อยสมเป็นโรงแรมห้าดาว สภาพในโรงแรมต่างกับภายนอกมาก เพราะเมืองของเขาดูคล้ายกับต่างจังหวัดบ้านเรา ถนนขรุขระ บางส่วนยังเป็นลูกรังอยู่เลย คิดว่าทางการกัมพูชาน่าจะให้ความสนใจ และพัฒนาบริเวณนี้มากขึ้น เพราะอย่างไรก็ตาม นักท่องเทียวที่เดินทางเข้ากัมพูชา มีเป็นเรือนแสนต่อปีจากทั่วทุกมุมโลก เมืองเสียมเรียบจัดว่าเป็นเมืองหน้าตาของประเทศ เท่าที่ฉันเห็นด้วยตา สภาพส่วนใหญ่ยังสกปรกและรอการพัฒนาอยู่เลย
สระว่ายน้ำของที่โรงแรมค่ะ หรูหรามาก
ที่เขมรก็มีน้องโจออกรายการยูบีซีเหมือนกัน
ที่โรงแรมติดยูบีซี มีช่องภาษาไทยหลายช่อง แถมช่องภาษาอังกฤษอื่นๆเช่น HBO AXN หรือ star movie ฯลฯ มีบรรยายภาษาไทยทั้งหมด ฉันเลยดูทีวีมีความสุขไปเลย กลางคืนฉันหลับไม่ค่อยสนิท ลุกชึ้นมาแต่เช้ามืด ดูหนังจบไปหนึ่งเรื่องก็ลงไปกินบุฟเฟต์อาหารเช้า ราคา 7$ ซึ่งหรูหราอลังการสมราคา กินเสร็จก็กลับมานอนพักนิดหน่อย แล้วค่อยจับรถเข้าไปดูนครวัด
นี่แหละ ตุ๊กตุ๊กที่พาฉันไปเที่ยวนครวัด
ฉันตกลงใจนั่งรถตุ๊กตุ๊กเข้าไปที่นครวัด ค่าเข้าชม วันละ 20 $ สามารถชมได้ทั่ว (ถ้ามีปัญญาไปได้) เดินทางไม่นานก็เจอนครวัดซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมขอม ฉันขอไม่เล่าเรื่องความอลังการของนครวัด เพราะโพสท์เป็นรูปเลยคงจะบรรยายได้ดีกว่า แต่ความประทับใจที่นครวัดนั้น คงจะได้แก่บรรดาไกด์ผี และเด็กๆที่รุมร้อมนักท่องเที่ยวราวกับขอแจกอะไรสักอย่าง
ทันทีที่ฉันลงเดินเข้าสู่ตัวปราสาทด้วยตัวเอง มีไกด์ผีสองคนเข้ามาประกบฉัน ปากก็คอยพูดชวนคุยต่างๆนานา คุยกับเขาก็เพลินดี ไกด์คนนี้เคยมาอยู่เมืองไทย เขาบอกว่ามาทำงานก่อสร้างที่ อ.พนัสนิคม และพัทยาใต้ ภาษาอังกฤษเขาก็พูดเก่ง จนฉันแอบสงสัยว่า เฮียแกพูดภาษาอังกฤษเก่งขนาดนี้ ไม่น่าไปทำงานก่อสร้างอยู่ น่าจะสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ท่าทางจะรุ่งกว่าทำงานก่อสร้างตั้งเยอะ ฉันคุยกับเขาไม่นาน เขาก็ขอตัวแยกไป เพราะเขาคงเห็นว่าฉันไม่มีทีท่าจะจ้างเขาแน่ๆ เวลาฉันเดินเที่ยวคนเดียวแบบนี้ต้องระวัง เพราะเห็นคนเขมรหลายคนมองกล้องและกระเป๋าสตางค์ของฉันอยู่ อย่าไว้ใจคนแปลกหน้าเป็นดี ดังนั้นภาพส่วนใหญ่ ฉันจังได้มาด้วยการถ่ายเอง หรือขอให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่ท่าทางไว้ใจได้ถ่ายรูปให้
รูปนี้ขอให้พี่ๆคนไทยช่วยถ่ายให้ค่ะ
วันนี้ฉันเจอคนไทยด้วย เป็นครอบครัวจากทางภาคอีสาน เขาเล่าว่าขับรถมากัน ใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ฟังแล้วเหลือเชื่อว่า อยู่ติดกับเมืองไทยแค่นี้เอง พอเล่าให้เขาฟังว่าฉันเป็นแอร์ บินมา เขาก็ทำท่าว่า โห.....รวยจัง อันที่จริงฉันก็ไม่ได้มีสตางค์มากขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่โชคดี ได้ทำงานที่ได้มีโอกาสเที่ยวเยอะกว่าใครเขาก็เท่านั้นเอง
สถาปัตยกรรมขอมโบราณ ยิ่งใหญ่สง่างามสมคำร่ำลือ
ภายในนครวัดยิ่งใหญ่อลังการสมคำร่ำลือ ไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณจะสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่เพื่อกษัตริย์ และเทพที่เขาบูชาได้ขนาดนี้ และยังเหลือเชื่อยิ่งกว่าที่ปราสาทอันสวยงานแห่งนี้ ได้รักษาตัวเองจนรอดพ้นจากเงื้อมือมนุษย์ จนมาเป็นที่รู้จักกันในสมัยนี้ ฉันแอบเห็นคนมือบอนบางคน กรีดรอยปราสาทหิน แล้วเศร้าใจ เพราะร่อยรอยแบบที่เห็น เป็นร่องรอยสดๆ ไม่นานมานี้ มีทั้งภาษาไทยและภาษาจีน คนชาติอื่น ภาษาอื่นไม่เห็นเขามือบอนกันแบบนี้เลย ทำไมถึงไม่คิดเก็บความสวยงามอลังการแบบนี้ให้คนรุ่นหลังเห็นไปนานๆ ทำไมถึงคิดเอาแค่ความสนุกพอใจของตัวเอง ฉันได้แต่คิด แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
ภาพนางอัปสรหรือที่ชาวเขมรเรียกกันว่าอัปสรา(Apsra) สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในนครวัด
ฉันใช้เวลาเดินชมนครวัดไม่นาน เพราะเหนื่อย ร้อน และสำนึกว่ายังต้องเตรียมตัวกลับมานอนพักก่อนบินกลับอีก เลยพอใจหยุดอยู่แค่เที่ยวนครวัด ทั้งๆที่ในใจก็เสียดายอยู่เหมือนกัน ก่อนกลับฉันได้ซื้อโปสการ์ดจากเด็กๆที่ขายของอยู่หน้าปราสาท เด็กๆพวกนี้พูดได้หลายภาษาอย่างเหลือเชื่อ ฉันพยายามพูดกับเขาด้วยภาษาที่ฉันพอจะนึกออก เขาโต้ตอบฉันได้หมดเลย โอ้โห !!! เก่งจริงนะตัวแค่เนี้ย
สิ่งหนึ่งที่ฉันติดใจเกี่ยวกับเด็กที่ขายของเหล่านี้ คือ ฉันคิดว่าเด็กๆพวกนี้ไม่มีโอกาส ความจนทำให้เขาต้องออกมาทำงาน หาเงินมาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย ยังดีที่พวกเขาเลือกอาชีพขายของให้นักท่องเที่ยว แทนที่จะเป็นขอทานหรือลักขโมย แต่ภาพการรุมขายของให้นักท่องเที่ยว ทุกคนกรูเข้ามาจากทุกสารทิศ และทำท่าน่าสงสารต่างๆนานา จนนักท่องเที่ยวบางคนต้องซื้อเพื่อตัดความรำคาญ นอกจากจะเป็นภาพที่ไม่น่าดู เป็นสิ่งที่รบกวนนักท่องเที่ยวแล้ว มันยังจะกลายเป็นเรื่องราวแบบปากต่อปาก ทำให้คนอื่นๆที่มาเที่ยว เข็ดและกลัวกันไปตามๆกัน ฉันไม่รู้หรอกว่ารัฐบาลกัมพูชาจะสนใจเรื่องตรงนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็ยังอยากให้ทารการ หรือหน่วยงานใดก็ตามที่รับผิดชอบ เข้ามาดูแลตรงนี้สักนิด เพื่อที่ชาวบ้านแถบนั้นจะได้ทำมาหากินแบบยั่งยืนกับสถานที่เที่ยวแบบนี้ไปนานๆ
ภาษาเขมรค่ะ ภาพขวามือเป็นเครื่vง ATM ที่สนามบิน พอจะอ่านออกไหมคะว่าเขาเขียนว่าอะไร
ขากลับเครื่องใช้เวลาบินสั่นกว่าขามา เพียงแค่ 4ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น
หลังจากจบไฟลท์ก็โทรมหน้ามันแบบนี้แหละค่ะ ภาพนี้ถ่ายหลังจบไฟลท์REP~ICN
ฉันออกไปซื้อสตรอเบอร์รี่ฝากหม่าม้าน้องโจและหมาม้าต้นแต่เช้า กลับมาก็โทรเรียกลูกหมีมาคุยกันจนส่งลูกหมีไปบินไฟลท์ฮานอย กว่าจะเข้านอนก็ปาเข้าไปทุ่มกว่าแล้ว (อยู่ยาวเกิน 24 ชั่วโมงอีกแล้ว) ตื่นมาก็เลยเพิ่งได้เขียนblog อยู่นี่แหละ
วันนี้จะได้บินกลับบ้านแล้วค่ะ ดีใจจังเลย
เมื่อวานนี้ฉันเพิ่งกลับมาจากไฟลท์ REP หรือเสียมเรียบค่ะ เพิ่งไปlay-over ครั้งแรก เครื่องที่บินเราใช้เครื่อง A320 ลำใหม่ของบริษัท มีไว้เพื่อบินไฟลท์นี้โดยเฉพาะ ผู้โดยสารที่ขึ้นไฟลท์เขมร ส่วนมากเป็นลุงๆป้าๆชาวเกาหลี มากันเป็นกรุ๊ปทัวร์ ท่าทางก็ไม่บ้านนอกมาก แต่มารยาทการอยู่ร่วมกับผู้โดยสารอื่นก็เหมือนชาวเกาหลีทั่วไปที่ฉันเคยเจอ โดยเฉพาะชาวเกาหลีที่อายุมาก เขาจะมีคาแรคเตอร์แบบที่ไม่เหมือนคนชาติอื่นเลย (ไว้วันหลังฉันจะมาเล่าสู่กันฟังอีกทีนะคะ เรื่องชาวเกาหลี)
หลังจากที่บินจากเกาหลีนานถึง 5ชั่วโมง 40นาที เราก็มาถึงที่หมาย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ เสียมเรียบ อังกอร์ กราวด์สต๊าฟที่นี่เราใช้บริการของการบินไทยค่ะ หน้าตาเหมือนชาวไทยแถบอีสานบ้านเรา แต่อย่าเผลอพูดภาษาไทยใส่เขาเชียว เพราะเขาฟังเราไม่รุ้เรื่องหรอก สนามบินที่นี่ขนาดเล็กใกล้เคียงกับสนามบินอู่ตะเภา คงไม่ค่อยมีเครื่องมาลงจอด จากเครื่องบิน เราต้องเดินลงบันได แล้วเดินเข้าสู้ตัวอาคารเอง เพราะที่นี่ไม่มีเจ็ทบริจด์ หรืองวงช้างให้เราเดินสู่ตัวอาคารได้เหมือนสนามบินใหญ่ๆ
ห้องพักในโรงแรมค่ะ
เราพักกันที่โรงแรม Le Meridian Angkor ค่ะ สวยงามหรูหรา ห้าดาวมากๆ เท่าที่ดู คงเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดของที่นี่ พนักงานที่นี่หน้าตาดี ท่าทางสุภาพเรียบร้อยสมเป็นโรงแรมห้าดาว สภาพในโรงแรมต่างกับภายนอกมาก เพราะเมืองของเขาดูคล้ายกับต่างจังหวัดบ้านเรา ถนนขรุขระ บางส่วนยังเป็นลูกรังอยู่เลย คิดว่าทางการกัมพูชาน่าจะให้ความสนใจ และพัฒนาบริเวณนี้มากขึ้น เพราะอย่างไรก็ตาม นักท่องเทียวที่เดินทางเข้ากัมพูชา มีเป็นเรือนแสนต่อปีจากทั่วทุกมุมโลก เมืองเสียมเรียบจัดว่าเป็นเมืองหน้าตาของประเทศ เท่าที่ฉันเห็นด้วยตา สภาพส่วนใหญ่ยังสกปรกและรอการพัฒนาอยู่เลย
สระว่ายน้ำของที่โรงแรมค่ะ หรูหรามาก
ที่เขมรก็มีน้องโจออกรายการยูบีซีเหมือนกัน
ที่โรงแรมติดยูบีซี มีช่องภาษาไทยหลายช่อง แถมช่องภาษาอังกฤษอื่นๆเช่น HBO AXN หรือ star movie ฯลฯ มีบรรยายภาษาไทยทั้งหมด ฉันเลยดูทีวีมีความสุขไปเลย กลางคืนฉันหลับไม่ค่อยสนิท ลุกชึ้นมาแต่เช้ามืด ดูหนังจบไปหนึ่งเรื่องก็ลงไปกินบุฟเฟต์อาหารเช้า ราคา 7$ ซึ่งหรูหราอลังการสมราคา กินเสร็จก็กลับมานอนพักนิดหน่อย แล้วค่อยจับรถเข้าไปดูนครวัด
นี่แหละ ตุ๊กตุ๊กที่พาฉันไปเที่ยวนครวัด
ฉันตกลงใจนั่งรถตุ๊กตุ๊กเข้าไปที่นครวัด ค่าเข้าชม วันละ 20 $ สามารถชมได้ทั่ว (ถ้ามีปัญญาไปได้) เดินทางไม่นานก็เจอนครวัดซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมขอม ฉันขอไม่เล่าเรื่องความอลังการของนครวัด เพราะโพสท์เป็นรูปเลยคงจะบรรยายได้ดีกว่า แต่ความประทับใจที่นครวัดนั้น คงจะได้แก่บรรดาไกด์ผี และเด็กๆที่รุมร้อมนักท่องเที่ยวราวกับขอแจกอะไรสักอย่าง
ทันทีที่ฉันลงเดินเข้าสู่ตัวปราสาทด้วยตัวเอง มีไกด์ผีสองคนเข้ามาประกบฉัน ปากก็คอยพูดชวนคุยต่างๆนานา คุยกับเขาก็เพลินดี ไกด์คนนี้เคยมาอยู่เมืองไทย เขาบอกว่ามาทำงานก่อสร้างที่ อ.พนัสนิคม และพัทยาใต้ ภาษาอังกฤษเขาก็พูดเก่ง จนฉันแอบสงสัยว่า เฮียแกพูดภาษาอังกฤษเก่งขนาดนี้ ไม่น่าไปทำงานก่อสร้างอยู่ น่าจะสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ท่าทางจะรุ่งกว่าทำงานก่อสร้างตั้งเยอะ ฉันคุยกับเขาไม่นาน เขาก็ขอตัวแยกไป เพราะเขาคงเห็นว่าฉันไม่มีทีท่าจะจ้างเขาแน่ๆ เวลาฉันเดินเที่ยวคนเดียวแบบนี้ต้องระวัง เพราะเห็นคนเขมรหลายคนมองกล้องและกระเป๋าสตางค์ของฉันอยู่ อย่าไว้ใจคนแปลกหน้าเป็นดี ดังนั้นภาพส่วนใหญ่ ฉันจังได้มาด้วยการถ่ายเอง หรือขอให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่ท่าทางไว้ใจได้ถ่ายรูปให้
รูปนี้ขอให้พี่ๆคนไทยช่วยถ่ายให้ค่ะ
วันนี้ฉันเจอคนไทยด้วย เป็นครอบครัวจากทางภาคอีสาน เขาเล่าว่าขับรถมากัน ใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ฟังแล้วเหลือเชื่อว่า อยู่ติดกับเมืองไทยแค่นี้เอง พอเล่าให้เขาฟังว่าฉันเป็นแอร์ บินมา เขาก็ทำท่าว่า โห.....รวยจัง อันที่จริงฉันก็ไม่ได้มีสตางค์มากขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่โชคดี ได้ทำงานที่ได้มีโอกาสเที่ยวเยอะกว่าใครเขาก็เท่านั้นเอง
สถาปัตยกรรมขอมโบราณ ยิ่งใหญ่สง่างามสมคำร่ำลือ
ภายในนครวัดยิ่งใหญ่อลังการสมคำร่ำลือ ไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณจะสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่เพื่อกษัตริย์ และเทพที่เขาบูชาได้ขนาดนี้ และยังเหลือเชื่อยิ่งกว่าที่ปราสาทอันสวยงานแห่งนี้ ได้รักษาตัวเองจนรอดพ้นจากเงื้อมือมนุษย์ จนมาเป็นที่รู้จักกันในสมัยนี้ ฉันแอบเห็นคนมือบอนบางคน กรีดรอยปราสาทหิน แล้วเศร้าใจ เพราะร่อยรอยแบบที่เห็น เป็นร่องรอยสดๆ ไม่นานมานี้ มีทั้งภาษาไทยและภาษาจีน คนชาติอื่น ภาษาอื่นไม่เห็นเขามือบอนกันแบบนี้เลย ทำไมถึงไม่คิดเก็บความสวยงามอลังการแบบนี้ให้คนรุ่นหลังเห็นไปนานๆ ทำไมถึงคิดเอาแค่ความสนุกพอใจของตัวเอง ฉันได้แต่คิด แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
ภาพนางอัปสรหรือที่ชาวเขมรเรียกกันว่าอัปสรา(Apsra) สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในนครวัด
ฉันใช้เวลาเดินชมนครวัดไม่นาน เพราะเหนื่อย ร้อน และสำนึกว่ายังต้องเตรียมตัวกลับมานอนพักก่อนบินกลับอีก เลยพอใจหยุดอยู่แค่เที่ยวนครวัด ทั้งๆที่ในใจก็เสียดายอยู่เหมือนกัน ก่อนกลับฉันได้ซื้อโปสการ์ดจากเด็กๆที่ขายของอยู่หน้าปราสาท เด็กๆพวกนี้พูดได้หลายภาษาอย่างเหลือเชื่อ ฉันพยายามพูดกับเขาด้วยภาษาที่ฉันพอจะนึกออก เขาโต้ตอบฉันได้หมดเลย โอ้โห !!! เก่งจริงนะตัวแค่เนี้ย
สิ่งหนึ่งที่ฉันติดใจเกี่ยวกับเด็กที่ขายของเหล่านี้ คือ ฉันคิดว่าเด็กๆพวกนี้ไม่มีโอกาส ความจนทำให้เขาต้องออกมาทำงาน หาเงินมาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย ยังดีที่พวกเขาเลือกอาชีพขายของให้นักท่องเที่ยว แทนที่จะเป็นขอทานหรือลักขโมย แต่ภาพการรุมขายของให้นักท่องเที่ยว ทุกคนกรูเข้ามาจากทุกสารทิศ และทำท่าน่าสงสารต่างๆนานา จนนักท่องเที่ยวบางคนต้องซื้อเพื่อตัดความรำคาญ นอกจากจะเป็นภาพที่ไม่น่าดู เป็นสิ่งที่รบกวนนักท่องเที่ยวแล้ว มันยังจะกลายเป็นเรื่องราวแบบปากต่อปาก ทำให้คนอื่นๆที่มาเที่ยว เข็ดและกลัวกันไปตามๆกัน ฉันไม่รู้หรอกว่ารัฐบาลกัมพูชาจะสนใจเรื่องตรงนี้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็ยังอยากให้ทารการ หรือหน่วยงานใดก็ตามที่รับผิดชอบ เข้ามาดูแลตรงนี้สักนิด เพื่อที่ชาวบ้านแถบนั้นจะได้ทำมาหากินแบบยั่งยืนกับสถานที่เที่ยวแบบนี้ไปนานๆ
ภาษาเขมรค่ะ ภาพขวามือเป็นเครื่vง ATM ที่สนามบิน พอจะอ่านออกไหมคะว่าเขาเขียนว่าอะไร
ขากลับเครื่องใช้เวลาบินสั่นกว่าขามา เพียงแค่ 4ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น
หลังจากจบไฟลท์ก็โทรมหน้ามันแบบนี้แหละค่ะ ภาพนี้ถ่ายหลังจบไฟลท์REP~ICN
ฉันออกไปซื้อสตรอเบอร์รี่ฝากหม่าม้าน้องโจและหมาม้าต้นแต่เช้า กลับมาก็โทรเรียกลูกหมีมาคุยกันจนส่งลูกหมีไปบินไฟลท์ฮานอย กว่าจะเข้านอนก็ปาเข้าไปทุ่มกว่าแล้ว (อยู่ยาวเกิน 24 ชั่วโมงอีกแล้ว) ตื่นมาก็เลยเพิ่งได้เขียนblog อยู่นี่แหละ
วันนี้จะได้บินกลับบ้านแล้วค่ะ ดีใจจังเลย
Subscribe to:
Posts (Atom)