Monday, April 03, 2006

กระจกตาติดเชื้อ

วันที่ 31 มีนาคม

แต่งตัวออกไปบินตามปรกติ ใจหายนิดหน่อยว่าองไปบินแพทเทิร์นมหาโหด ฉันไม่ได้บินไฟลท์ระหว่างทวีปมานานเต็มที แถมคราวนี้เป็นไฟลท์ระหว่างทวีปถึงสองไฟลท์ติดกันคือ JFK ต่อ SEA เครียดหนัก คอนเสิร์ต AF 1-2 ที่ซื้อบัตรเอาไว้ก็ไม่ได้ดู ซื้อบัตรเอาไว้ทั้งสองวัน โฮๆๆๆ เสียดายังค์ กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาให้ใครดี

บนเครื่อง สัญญาณอันตรายมันบอกมาตั้งแต่ตอน on ground แล้ว รู้สึกแสบและเคืองตามาก แต่ก็กัดฟันทนไป ใครไม่เคยรู้ฉันจะบอกไว้ตรงนี้ว่า เป็นแอร์น่ะ ห้ามเจ็บห้ามตาย ถ้าจะเป็นอะไรจงบอกล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง ไม่งั้นจะถือว่าผิดอย่างมหันต์ ต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปตามๆกัน นี่ดันมาเคืองตาตอนอยู่บนเครื่องตอนจะออกอยู่แล้ว จะตายก็ต้องไปแล้วหละ เรียกใครมาบินแทนไม่ทันแล้ว

กัดฟันทนไปจนจบไฟลท์

คราวนี้บินกับหวาน เพื่อนสาวสุดสวยของเรา หวานบอกว่าเคยเป็นอาการแบบนี้มาก่อน เกิดจากอาการกระจกตาติดเชื้อ ให้รีบไปหาหมอซะ ไม่งั้นถ้าไปเป็นที่อเมริกาจะยิ่งเดือดร้อน ทั้งค่าหมอค่ายะ ได้เปอร์เดียมมายังไงไม่คุ้มแน่นอน ตอนนั้นหวานต้องลาป่วยไปตั้งสองอาทิตย์ ตอนแรกฉันก็เครียด ไม่อยากหยุด แหม หยุดมาตั้งหลายวันแล้ว แถมเพิ่งพาน้องมาเที่ยวเกาหลี ขืนหยุดอีกจะเอาแกลบที่ไหนกิน แต่พอคิดไปคิดมา บวกกับอาการตาที่เคืองมากขึ้น ทำให้ฉันตัดสินใจโทรไปลาป่วยไฟลท์ JFK เสียดายเหมือนกัน แต่ก็ตัดใจเพราะสุขภาพเราสำคัญกว่า ไอ้ SKD teamหรือทีมจัดตารางบินมันก็แสบได้ใจ มันบอกว่าถ้ายูจะกลับก็กลับซะวันนี้เลย (แอบด่ามันในใจ แกจะไม่จ่ายค่า lay over ให้ฉัน ชิมิ)เย็นวันนั้นจึงต้องนั่งเป็นผู้โดยสารกลับมาบ้านพร้อมกับนังลูกหมีและเจ๊เบนซ์ซึ่ง on duty กลับมา

วันรุ่งขึ้น หลังจากไปทำหน้าที่พลเมืองดีไปเลือกตั้งมาแล้วฉันก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

โชคไม่ดีนิดหน่อยที่หมอเฉพาะทางไม่อยู่ ฉันจึงต้องพบคุณหมอเวรซึ่งทักว่าฉันเป็นหวัด เพราะฉันมีน้ำมูก พอบอกว่ามาหาหมอด้วยอาการเคืองตา คุณหมอก็ตรวจดูคร่าวๆ ปรากฏว่าคำวินิจฉัยคือแพ้คอนแทคเลนส์ที่ใส่ ยังไม่แน่ว่าแพ้ที่คอนแทคเลนส์ แพ้น้ำยาล้าง แพ้สารโปรตีนทำความสะอาด หรือแพ้มันหมดทุกอย่าง แต่เพื่อความปลอดภัย ฉันต้องกลับไปพบหมอเฉพาะทางอีกครั้ง คือต้องพบทั้งหมอโรคภูมิแพ้ และหมอโรคตา เฉพาะค่ารักษาเบื้อต้น 2400 บาท!!!

อุแม่เจ้า ! ฉันไม่ได้พิมพ์แบงค์ใช้เองนะ คุณหมอ

วันรุ่งขึ้นฉันจึงตัดสินใจเปลี่ยนโรงพยาบาล ไปพบหมอที่โรงพยาบาลพญาไท2แทน เนื่องจากลูกหมีบอกว่าถ้าเป็นการรักษาแบบเป็นผู้ป่วยนอก มันไม่ต่างกันหรอก แถมยังถูกกว่าตั้งครึ่ง

พบหมอเสร็จ คำวินิจฉัยเป็นไปดังคาด ฉันเจ็บตาจากอาการแพ้น้ำยาคอนแทคเลนส์เป็นไปได้ว่าร่างการสร้างสารมาป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่เคืองเป็นเวลานาน ดังนั้นทางแก้ระยะยาวคือต้องเปลี่ยนน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ ถ้าแพ้ก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนกว่าจะทดลงหมดทุกยีห้อในโลก แล้วก็ต้องเลิกใส่คอนแทคเลนส์ตลอดไป คุณหมอบอกว่าโชคดีที่มาหาหมอเสียแต่เนิ่นๆอาการยังไม่หนักมาก (ขนาดอาการไม่หนักยังทรมานลูกกะตาน่าดู T_T)หลังจากส่องกล้องดูแล้วปรากฏว่ากระจกตาเป็นเนื้อทรายมากกว่า 80% เกิดจากการระคายเตืองตาและตาแห้งมากเกินไป ต้องใช้น้ำตาเทียมหยอดตาตลอดเวลา แม้ไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์ หยอดยารักษาอาการติดเชื้อซึ่งเริ่มจะมงเนได้ด้วยตาเปล่า หยุดการแต่งหน้าโดยเฉพาะบริเวณตาชั่วคราว และต้องหยุดบินด้วยเนื่องจากบนเครื่องอากาศแห้งมาก มีผลให้อาการเป็นหนักขึ้นทุกครั้งที่ขึ้นเครื่อง

เอาน่า เพื่อชีวิตที่ดีกว่า เสียดายเงินแต่ก็ต้องยอม

ตอนแรกคุณหมอบอกให้หยุดยาวเป็นเวลาถึง 1 เดือนแต่ฉันอธิบายความจำเป็นว่า หยุดนานขนาดนั้นไม่ได้หรอก บริษัทคงไม่ยอม เพราะตอนนี้ลูกเรือขาดและก็กลัวโดนเพ่งเล็งด้วย ฉันจึงขอต่อรองคุณหมอเหลือได้หยุดเพียง 2 สัปดาห์

แค่นี้ก็รับประทานแกลบแล้วค่ะ คุณหมอที่รัก

ป่วยคราวนี้ทำให้ฉันซึ้งใจกับภาษิตที่ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

อาชีพลูกเรืออย่างพวกเรา เป็นอาชีพที่ต้องใช้สุขภาพแลกมาจริงๆ เพราะเครื่องบินเป็นศูนย์รวมสารพัดเชื้อโรค วันหลังถ้ามีโอกาสฉันจะเล่าให้ฟังถึงความสกปรกบนเครื่องบิน ภาพที่ผู้โดยสารทั้งหลายเห็นน่ะ มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่ใครๆคิด ตรงกันข้าม บางครั้งมันแย่อย่างที่สุดจะจินตนาการเช่นกัน ดังนั้นลูกเรือทุกคนจึงตระหนักในความจำเป็นที่ต้องดูแลตัวเองให้ดีอยู่เสมอ เพื่ออยู่ห่างไกลจากโรคทั้งหลายที่มักจะมากล้ำกรายโดยไม่ได้รับเชิญ หาเงินมาได้เยอะเท่าไหร่มันก็หมดไปกันค่ารักษาพยาบาล ได้เท่าไหร่ก็ไม่คุ้มกับสุขภาพที่เสียไป โชคดีที่ฉันมีประกันค่ารักษาพยาบาลที่ทางบริษัททำไว้ให้ เลยจ่ายค่ารักษาและค่ายาเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย

ป่วยคราวนี้ฉันอดได้ค่าเปอร์เดียมนิวยอร์คต่อซีแอทเทิลซึ่งถึอว่าเป็นไฟลท์ใหญ่ของเดือน ตั้งใจอย่างยิ่งยวดว่าเดือนหน้าต้องบินหนัก โหด เพื่อหาเงินมาชดเชยกับรายได้เดือนนี้ที่เสียไป

สู้โว้ย !!!