Friday, February 24, 2006

Hafa Adai ริมหาดไซปันกับเพลงHe Mele No Lilo

Hafa Adai แปลว่า สวัสดี และยินดีต้อนรับสู่ไซปันค่ะ

เมื่อคืนบินมาถึงไซปัน แล้ว ไม่ง่วงอย่างที่เคยเลยไม่ได้นอนอย่างที่ควรจะเป็น ตอนนี้ฉันกำลังนั่งรับลมที่lobby ของโรงแรมริมหาดบนเกาะ Saipan นี่เป็นข้อดีอีกประการหนึ่งของการเป็นแอร์ เราได้มีโอกาสเที่ยวไปในที่แปลกๆ แถมที่พักฟรี อาหารราคาถูกกว่ามาเที่ยวเอง ไซปันก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ฉันไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาสัมผัส
Image hosting by Photobucket
ห้องนอนที่ไซปันค่ะ

Image hosting by Photobucket Image hosting by Photobucket

มุมมองจากระเบียงห้องค่ะ บรรยากาศชายทะเลมากๆ

พอเช้า หลังจากนั่งเล่นเน็ทจนแบตหมด เลยแต่งตัวออกมาที่ร้าน DFS Galleriaซึ่งเป็นร้านขาย Duty Free เพียงแห่งเดียวในไซปัน เป็นที่รู้กันในหมู่ลูกเรือว่าร้าน Duty Free ที่ไซปัน เต็มไปด้วยสินค้ามากมาย หลายี่ห้อแบรนด์เนม แถมราคาก็ถูกกว่าที่อื่น ลูกเรืออย่างเราได้ลดราคา 10% ถึงจะน้อยกว่าบางที่ แต่ด้วยราคาที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ ทำให้เราสามารถช้อปปิ้งได้อย่าสบายใจ (นิดหน่อย) ภายในร้านมีป้ายต่างๆถึง 3 ภาษาคือภาษา ญี่ปุ่น เกาหลี และภาษาอังกฤษ เข้าใจเอาเองว่านักท่องเที่ยวส่วนมาที่มาเยือนไซปัน คงเป็นชาวญี่ปุ่น และเกาหลี เนื่องจากระยะทางใกล้ ใช้เวลาบินเพียง 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น แถมราคาก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศเขา เดินไปไหนในเกาะไซปัน เราเลยเจอวัฒนธรรม J-K ตลอด

Image hosting by Photobucket

ร้าน Duty Free มีคนเต็มร้าน ไม่ว่าฉันจะไปเดินเวลาไหน เข้าใจว่าไม่มีคนชาติไหนบ้าของแบรนด์เนม ได้เท่ากับคนญี่ปุ่นและเกาหลีอีกแล้ว เรื่องนี้ฉันเคยคุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่คุ้นเคยกับสังคมญี่ปุ่น เธออธิบายว่า เนื่องจากชาวญี่ปุ่นมีสวัสดิการสังคมที่ดี รัฐบาลเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กยันแก่ รายได้ต่อประชากรค่อนข้างสูง แถมไม่มีภาระใดๆในชีวิต จะซื้อรถ รัฐบาลก็จัดระบบขนส่งมวลชนไว้ดีเลิศ และสะดวกสบาย จะซื้อบ้าน ราคาบ้านและที่ดินก็แพงเกินจะจ่าย (เพื่อนบอกว่าซื้อบ้านกันทีผ่อนไปเลย 3-4ชั่วคน หรือประมาณ 100-200ปี โอ้โห ! ใครจะผ่อนไหวเนี่ย คนญี่ปุ่นจึงนิยมเช่าอพาร์ทเม้นต์ซึ่งตกแต่งอย่างดี ภายในสะดวกสบายทุกอย่าง พอตึกเก่าโทรม ก็ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ตึกเก่าๆก็ปรับปรุงใหม่ซะเลย รอคนมาอยู่ใหม่) มีลูก รัฐก็อำนวยความสะดวกด้านการศึกษา และสวัสดิการอื่นๆ พอแก่ลง รัฐก็เลี้ยงดูเป็นอย่างดีอีกนั่นแหละ เขาเลยใช้เงินส่วนมากไปกับการสร้างความสนุกสบายใจให้กับชีวิต นี่คงเป็นเหตุผลที่เราเห็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นกระเป๋าหนักไปทั่วโลก เที่ยวกันแสนจะหรูหรา แถมซื้อของแบรนด์เนมกันกระจาย พอเอาเรื่องเหล่านี้มาคิดดูแล้ว ก็พบว่าน่าจะคล้ายกับสังคมเกาหลี ที่รัฐเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เลยบ้าแบนด์เนมพอๆกัน ต่างกันแค่ตรงที่ค่าเงินเกาหลี ถูกกว่าค่าเงินญี่ปุ่นเท่านั้นเอง

กลับมาที่ร้าน Duty Free กันต่อดีกว่าค่ะ ร้าน DFS ที่Saipanเป็นหนึ่งในร้าน Duty Free ในดวงใจของฉันร้านหนึ่งก็ว่าได้ เนื่องจากร้าน DFS เป็นร้านขายของปลอดภาษีร้านเดียวที่มี Anna Sui วางขายให้เราได้ทดลองสินค้า และเลือกซื้อกันอย่าจุใจ (ที่SYD ก็มีแต่ของน้อยกว่า และต้องแสดงบัตรเครดิตเพื่อขอลดราคา ฉันไม่มีบัตรเครดิตนี่คะ)ที่จริงฉันเองก็ไม่ได้บ้าแบรนด์ Ana Sui ขนาดนั้น เพียงแต่ชอบแพคเกจสินค้ที่สวยงามน่ารัก ออกสไตล์วินเทจนิดๆ ฉันชอบ Anna Sui มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะมีเคาท์เตอร์วางของที่สยามพารากอนอีกนะคะ พอมาเจอของราคาถูกแถมมีลดพิเศษให้ฉันอีก ฉันก็เลยช้อปสนุกสนานไปเลย ไซปันจึงเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองที่ฉันมาทีไร กระเป๋าแห้งกลับไปทุกที ยอมค่ะ มันเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆในชิวิตแอร์ที่เหงา และไกลบ้านอย่างฉัน
Image hosting by Photobucket
วันนี้ฉันแพ้ใจ จ่ายค่า Anna Suiไปไม่น้อยเหมือนกัน เนื่องจากไม่ได้มาบินไซปันซะนาน เลยมีรายการสินค้าน่าซื้ออยู่หลายอย่าง แรกสุดเลยคือรองพื้นเบอร์ 03 ที่ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือสุดสัปดาห์ว่าเนื้อบางเบา และเมหาะกับคนผิวคล้ำอย่างฉัน พอมาลองดูก็ปรากฏว่าสวยและเนียนสมกับที่อยากได้ แถมมีกลิ่นหอมอ่อนๆแบบของ Anna Suiด้วย เลยต้องควักกระเป๋าไป 23$ กระจกรูปผีเสื้อที่ฉันชั่งใจมากว่า 2 ปีก็ราคาสมกับที่อยากได้ คือ 16$ ใครจะว่ามันเป็นแค่กระจกก็ช่าง มันเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของเรา ท้ายสุด ฉันควักกระเป๋าซื้อRouge Jar Setไปในราคา 35$ มีสามสี สวยๆทั้งนั้นเลย ตั้งใจว่าจะเก็บไว้เป็นของขวัญวันเกิดเพื่อน ที่จะมาถึงเดือนหน้านี้

Image hosting by Photobucket
ร้านABC หรือร้านสะดวกซื้อในไซปัน มีของจากทั้งอเมริกา และญี่ปุ่น
วันนี้ฉันกิน Room Service อย่างสบายใจ เพราะที่ไซปัน ลูกเรืออย่างฉันได้ลดราคาค่า Room Service ตั้ง 50 % กินกันจนพุงกาง ตั้งแต่เช้ายันดึก จ่ายไปประมาณ 13 $ เองค่ะ
Image hosting by Photobucket Image hosting by Photobucket

Image hosting by Photobucket Image hosting by Photobucket

Room Service ที่ไซปันค่ะ สามมื้อ ได้แก่แซลมอนรมควันกับแสครมเบิลเอ็กส์ มื้อเช้า สลัดสำหรับมื้อกลางวัน
และนักเก็ตสำหรับมื้อเย็น มีซูชิไส้สแปม กินแกล้มด้วย

ไฟลท์ขากลับง่วงมากๆ เพราะไม่ได้นอนก่อนจะถึงเวลา Show up ตื่นมาตั้งแต่ยังไม่สามทุ่ม Show up ตั้งตีหนึ่งกว่า แถมมีเสิร์ฟ Breakfast ด้วย มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวของฉัน ที่ไม่ค่อยชอบเสิร์ฟ Breakfast เท่าไหร่ เพราะไม่ชอบการเสิร์ฟ ชา กาแฟไปพร้อมๆกับเสิร์ฟอาหาร side oder ก็ค่อนข้างมาก เพราะคนเกาหลีชอบทานน้ำอัดลมกันตั้งแต่เช้า (ไม่รู้ว่าเขาชอบดื่มกันจริงๆ หรือจะดื่มเอาคุ้ม) เครื่องลงช้ากว่าปรกตินิดหน่อยคือประมาณ 6.30 เล่นเอาแอร์แต่ละคนสะบักสะบอมไปตามๆกัน

Image hosting by Photobucket
บนเครื่องรุ่น B777-200 ที่ใช้บินไปไซปันค่ะ ชอบเครื่องรุ่นนี้ที่สุดเลย

มาไซปันแบบนี้ บรรยากาศพาให้ฉันนึกเพลงการ์ตูนของDisney ที่ฉันชอบมากเพลงหนึ่ง
คือเพลง He Mele No Lilo อันเพลงเพลงชาติของเกาะ Hawaii ก่อนที่อเมริกาจะเขามาปกครอง
เพลงที่ว่าเป็นเพลงอวยพรพระราชา Kalakaua ของชาวฮาวาย
ลองฟังดูนะคะ

Image hosting by Photobucket

เนื้อเพลง Hame No Lilo พร้อมคำแปลค่ะ

Vocal 1 (Overlapping):
Mahalo nui ia ke ali`i wahine
`O Lili`ulani `o ka wo hi ku
Ka pipio mai o ke anuenue na waiho'o
lu'u a halikeole'e
E nana na maka i ke ao malama mai
Hawai`i akea i Kaua`i

Vocal 2 (Overlapping):
Ke Kuini o Hawai`i
Ku i ka moku i ke Kalaunu
Na hana a ke aloha Ma`alo
Ana i ka ua lana malie
I ka lani malama ho`ike
Mai ana la i ka nani

`O Kalakaua he inoa
`O ka pua mae`ole i ka la
Ka pua maila i ka mauna
I ke kuahiwi o Mauna Kea

Ke 'amaila i Kilauea
Malamalama i wahine kapu
A ka luna o Uweka huna
I ka pali kapu o Ka`auea

Ea mai ke ali`i kia manu
Ua wehi ka hulu o kamamo
Ka pua nani a`o Hawai`i
`O Kalakaua he inoa

`O Kalakaua he inoa
`O ka pua mae`ole i ka la
Ka pua maila i ka mauna
I ke kuahiwi o Mauna Kea

Ke`a mai la i Kilauea
Malamalama i Wahinekapu
A ka luna o Uwekahuna
I ka pali kapu o Ka`auea

Vocal 1 (Overlapping):
Mahalo nui ia Ke Ali`i wahine
`O Lili`ulani wo ka `o hi ku

Vocal 2 (Overlapping):
Ke Kuini o Hawai`i
Ku i ka moku i ke Kalaunu

Ea mai ke ali`i kia manu
Ua wehi i ka hulu o ka mamo
Ka pua nani a`o Hawai`i
`O Kalakaua he inoa

He Inoa No Kalani Kalakaua — kulele!


Image hosting by Photobucket
พระราชาคาลาคาอัว เจ้าชีวิตองค์สุดท้ายของชาวฮาวายค่ะ
พระพักตร์ทรงคล้ายกับชาวเอเชีย

นี่คือคำแปลโดยผู้ศึกษาภาษาถิ่นชาวฮาวายค่ะ
By Ryan Kawailani Ozawa:

Vocal 1 (Overlapping):
Great thanks to the lady chief
Lili`ulani (Lili`uokalani) [`o ka wo hi ku?]
Captured the rainbow watercolors
Dive until [halikeole'e?]
The eyes look to the nurturing dawn
Hawai`i expands to Kaua`i

Vocal 2 (Overlapping):
The queen of Hawaii
Stands at the island at the Crown
The works of the passing love
[Ana i ka?] gently flowing
In the nurturing sky
From the heavens

Kalakaua is his name
The flower that doesn't wither in the sun
The flower blooms on the mountain
on the high hill of Mauna Kea

Glowing white is Kilauea
Radiant sacred woman
Atop Uweka Huna (Crying Priest Crater)
on the sacred cliff of rising rain

The chief comes to catch the bird
To adorn himself in the feathers of the mamo
The beautiful flower of Hawai'i
Kalakaua is his name

Kalakaua is his name
The flower that doesn't wither in the sun
The flower blooms on the mountain
on the high hill of Mauna Kea

Glowing white is Kilauea
Radiant sacred woman
Atop Uweka Huna (Crying Priest Crater)
on the sacred cliff of rising rain

Vocal 1 (Overlapping):
Great thanks to the lady chief
Lili`ulani (Lili`uokalani) [wo ka `o hi ku?]

Vocal 2 (Overlapping):
The queen of Hawaii
Stands at the island at the Crown

The chief comes to catch the bird
To adorn himself in the feathers of the mamo
The beautiful flower of Hawai'i
Kalakaua is his name

In the heavenly name of Kalakaua — cast forth!

Image hosting by Photobucket

* "He Mele No Lilo" is derived in large part from "Mele Inoa no Kalakaua" (Name Song for Kalakaua), a traditional Hawaiian chant. Independent translation provided without approval or authorization by the song's authors, publishers, or other copyright holders. Do not republish or redistribute.









หัวอกน้องคนเล็ก Mungne in SPN

Image hosting by Photobucket
ตัว Saipan-daสัญลักษณ์ของไซปันค่ะ

ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไซปันค่ะ เป็นเกาะขนาดเล็ก ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก
แต่ที่จะเขียนวันนี้ไม่เกี่ยวกับไซปันหรอกค่ะ
ฉันยังมีโอกาสมาที่ไซปันอีกหลายครั้ง
ที่ฉันจะเล่าวันนี้คือ เรื่องของคนที่จะเป็น Mungne หรือน้องเล็กสุดในหมู่แอร์เกาหลี
ในสังคมเกาหลี ระบบอาวุโส หรือ Seniority เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว โรงเรียน หรือที่ทำงาน
คำว่าพี่ หรือรุ่นพี่มักได้รับความสำคัญเสมอ
คนเป็นพี่มักจะได้รักโอกาสให้เลือกในสิ่งที่ชอบ หรือไม่ชอบก่อน
ฟังดูคล้ายกับสังคมคนไทยนะคะ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าต่างกันพอสมควร
ในสังคมไทยนั้น พ่อแม่มักจะโอ๋ลูกคนเล็ก
จะทำอะไรก็บอกว่าให้น้องเลือกก่อน เป็นพี่ต้องเสียสละให้น้อง
ลูกคนเล็กมักได้รับการปกป้องคุ้มครองนานกว่าลูกคนอื่นๆ
ต่างจากสังคมเกาหลีที่ลูกคนโตมักจะได้รับการตามใจ
ได้โอกาสในการเลือกสิ่งที่ชอบ หรือไม่ชอบก่อน
เช่นเดียวกับสังคมโรงเรียน หรือที่ทำงานของชาวเกาหลี
คำว่า"รุ่นพี่"หรือซอนแบนิม มีอานุภาพยิ่งใหญ่
ไม่มาทำงานกับชาวเกาหลี อาจจะนึกไม่ออกเลยทีเดียว
เรื่องของรุ่นพี่ วันนี้ขอเก็บไว้ก่อน วันไหนว่างๆ จะมาเม้าท์อีกที
แต่เรื่องที่จะเล่าวันนี้คือเรื่องของ"น้องคนเล็ก"ดังที่ได้จั่วหัวข้อเอาไว้แล้ว
วันนี้ฉันมีโอกาสได้เป็น"น้องคนเล็ก" หรือมังเน่(Mungne)ในไฟลท์ที่บินมาไซปัน
นานกว่าปีแล้วค่ะ ที่ฉันไม่มีโอกาสได้ทำงานในตำแหน่งนี้ นับตั้งแต่ฉันเริ่มมีรุ่นน้องเข้ามาทำงาน
สังคมที่นี่(ไม่แน่ใจนะคะว่าที่บริษัท หรือในสังคมเกาหลีด้วย)
ผู้เป็นน้องเล็ก มีหน้าที่สำคัญที่สุดในการทำตัวพินอบพิเทาให้มากที่สุด
ในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานนั้น หน้าที่ของน้องเล็กมักได้แก่
การจัดหนังสือพิมพ์ การจัดห้องน้ำ (รวมไปถึงการทำความสะอาดด้วยนะ ) การเก็บทิป
นอกเหนือจากการทำงานเช่น การโทรปลุกรุ่นพี่ก่อนเวลา show up
(ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะว่าโรงแรมเขาก็โทรให้แล้ว จะต้องทำซ้ำอีกทำไม ก็บอกแล้วว่าเป็นธรรมเนียมของที่นี่)
น้องเล็กต้องทำตัวพินอบพิเทาสุดๆ สำเร็จออกมาจาก training เมื่อไหร่
ใครประจบสอพลอรุ่นพี่ได้เร็ว มักได้รับความเอเอ็นดูกว่าคนอื่นๆ
บางทีเวลาเราเข้าห้อง brief น้องเล็กมักจะมีขนมเล็กๆน้อยๆเอามาวางไว้ให้เรา
เป็นการแสดงattitude ที่ดีว่าเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (จะได้ไม่โดนจิกมาก)
เวลาลงจากรถ เข้าแถว หรือแม้แต่เดินเข้าเครื่อง น้องคนเล็กต้องเดินตามหลังรุ่นพี่
เช่นเดียวกัน เวลาทานข้าว รุ่นน้องต้องรอรุ่นพี่ที่โตสุดในครัว เป็นผู้เริ่มทานก่อน รุ่นน้องจึงจะลงมือได้
ถ้ามีอาหารมากกว่า 1 อย่างให้เลือก แน่นอนว่ารุ่นพี่ต้องเป็นผู้เลือกก่อนเท่านั้น
เวลาทำงาน ถ้ามีผู้โดยสรกดปุ่มเรียก ผู้เป็นรุ่นน้องต้องแสดงความกระฉับกระเฉง วิ่งออกไปก่อน
เวลาทำงาน รุ่นพี่ทำงานอะไร น้องเล็กต้องแถเข้าไปช่วย (ไม่งั้นจะโดนเขียนจดหมายด่าลับหลังว่าทัศนคติแย่ -_-')
ที่จริงการเป็นน้องเล็กยังมีรายระเอียดจุกจิกอีกเยอะ เพียงแต่ตอนนี้คิดออกเท่านี้
อันที่จริงถ้าเราเป็นน้องเล็กที่ดี มีสัมมาคารวะกับรุ่นพี่ ทำงานขยันขันแข็ง
การเป็นน้องเล็กก็มีข้อดีเหมือนกัน (เท่าที่พยายามนึกให้ออก)
การทำงานเป็นน้องเล็กนั้น หน้าที่ความรับผิดชอบน้อยที่สุดในเครื่อง
แน่หละ งานที่เราทำมักเป็นงานประเภทใช้แรงทั้งนั้น ~>_<~ แต่หน้าที่จำพวกเช็คอาหาร เช็คอาหารพิเศษ เช็คอุปกรณ์ต่างๆ ตลอดจนเครื่องอุปโภคบริโภคที่ต้องโหลดมาใช้บนไฟลท์ ล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ทั้งสิ้น ฉันเคยเจอไฟลท์น่ากลัวสุดๆครั้งนึงตอนทำหน้าที่เป็นน้องเล็ก วันนั้นฉันบินไฟลท์นิวยอร์คครั้งแรก (อันที่จริงครั้งเดียวเท่าที่เคยได้มา) แจ็กพ็อตแตกที่ไฟลท์ฉันพอดี๊ สายการบินเกาหลี ที่บินผ่านอเมริกาโดนขู่วางระเบิด สายการบินเกาหลีมีสองสายที่บินเข้าอเมริกาคือ KE กับ OZ ส่วนปลายทางอเมริกานั้นมีเป็นสิบ ไม่รู้ว่าจะโดนเอาเมืองไหน เครื่องเราออกจาก JFK มาแล้ว และได้รับแจ้งก่อนลงเติมน้ำมันที่ ANC กว่าจะผ่าน Safety procedure มาได้ เล่นเอาฉันขุดวิชาความรู้ทั้งยวงออกมาใช้ (ไว้วันหลัง~อีกแล้วครับท่าน -_-' ฉันจะเล่าเรื่องนี้ลงไดอารี่ที่รัก วันนี้ยังก่อน) เมื่อกัปตันประกาศให้ลูกเรือลงจากเครื่องได้ โดยใช้วิธีแลกลูกเรือ 1:1 ฉัน ซึ่งเป็นน้องเล็กสุดในไฟลท์ เดินแปะมือแลกกับกัปตันไฟลท์ถัดไปพอดี แปลว่าความรับผิดชอบน้อยสุดไง เลยรอดตาย หนีออกมาได้ก่อนเพื่อน เห็นไหมว่า น้องเล็กก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก บินไปนานๆเข้า เป็นน้องเล็กก็สนุกดีเหมือนกันนะ

Wednesday, February 22, 2006

DIARY FEB21,06 ไฟลท์ดีเลย์+ ผจญผู้โดยฯรัสเซีย เปลี้ยใจจริงๆ

กลับมาบินอีกครั้งแล้วค่ะ
หลังจากที่หยุดไปซะหลายวัน
เริ่มต้นแพทเทิร์นบินใหม่ด้วยไฟลท์ดีเลย์
กำลังแต่งตัวสวยงาม พี่เก๋สุดสวยของเราโทรมาหา
บอกว่าวันนี้มีไฟลท์ดีเลย์ เปลี่ยนเวลาdeparture เป็น 00.20
โอ้โห! แล้วเราแต่งตัวเสร็จตั้งแต่ทุ่มกว่าๆ จะรีบไปทำไมเนี่ย
คิดได้ดังนั้นก็เลยรีบโทรหาวิวาน @ JBTเพื่อเช็คเวลาร้องเพลงของน้อง
วิวานบอกว่ามาเลยๆ ตอนนี้กำลังนั่งคุยกันอยู่
เราก็เลยฮึกเหิม ได้ไปงานเตรียมพัฒน์แล้ว(โว้ย)
กว่าจะจัดกระเป๋า อ้อนต้นสำเร็จ สองทุ่มครึ่ง
โทรหาวิวานอีกที วิวานบอกว่า.....
ไม่ต้องมาแล้วหละ น้องมันร้องเพลงจบแล้ว กว่าแกจะมา คงกลับบ้านกันหมด
ฮือๆๆๆ T_T เศร้า เรามันคนทำงานกลางคืนนิ เลยไม่ค่อยได้ไปดูน้องโจ
ไม่เป็นไร ดีเหมือนกันเราจะได้นอนพักก่อนไปบิน
หลับง่ายกว่าที่คิด คงเป็นเรพาะวันนี้ไม่ได้นอนก่อนไปบินเหมือนเคย
ได้เวลาก็ลุกขึ้นเกล้าผม เติมหน้า สวยออกจากบ้านได้เลย
แอบเสียดายนิดหน่อยที่วันนี้สวนเครื่องกับหลินฟง เพราะเราสนิทกับน้องแอร์เวียดคนนี้มาก
ถ้ามีโอกาสได้เจอกันก็อยากพาเขาเที่ยวเมืองไทย
มาถึงสนามบิน สักพัก ได้เวลาเครื่องลง ลากกระเป๋าเข้าเครื่อง ทำงานตามปรกติ
วันนี้บินกับพี่ฟ้าสุดสวย เจอรุ่น้องนิสัยดีอีกสองคน รุ่นพี่ก็นางฟ้ากันทั้งไฟลท์
เสียอย่างเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตที่เราเกลียดยิ่งกว่าเกาหลีขึ้นมาบนเครื่อง
ให้ทายคงไม่มีใครทายถูกว่ามันคือพวก "รัสเซีย"
คนไทยส่วนใหญ่จะนึกไม่ออกว่า ทำไมรัสเซียถึงได้ไม่น่ารักขนาดนั้น
แต่เราซึ่งผจญกับผู้โดยสารต่างาติ ต่างภาามาทุกรูปแบบ
ขอคอนเฟิร์มว่าผู้โดยสารรัสเซียของเรา มันแย่จริงๆว่ะ -_-'
อาจเป็นเพราะรัสเซียที่มาขึ้นเครื่องของเราเป็นรัสเซียแบบไม่ค่อยเจริญก็เป็นได้
เพราะพวกนี้มาจากประเทศอุซเบกิซถาน หรือคาซัคสถาน
(เรามีไฟลท์พาผู้โดยสารไปลง TAS และ ALA ค่ะ)
ผู้โดยสารรัสเซีย พวกนี้มีลักษณะโดยรวมเหมือนกันคือ
กลิ่นตัวเหม็นสาบ ใครว่าคนเกาหลี หรือแขกเหม็นสาบ
ลองมาเจอรัสเซียเถิดค่ะ ขอบอกว่าเหม็นสาบที่สุดในโลก
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะลักษณะอาหารหรือกลิ่นตัวของเขาโดยธรรมชาติ
แล้วคนพวกนี้เนื้อตัวไม่ค่อยสะอาด ไม่ทราบว่าทำไม
นิสัยการกินอาหารก็ไม่ค่อยดี (อย่าให้ said เดี๋ยวจะพาลกินข้าวไม่ลง)
ดื่มจัดมากๆ ดื่มวน์กันเอิกเริกกว่าชนชาติไหน
กินเบียร์เป็นน้ำ วิสกี้ บรั่นดี วอดก้าและอื่นๆ ลองโหลดขึ้นมา รับรองเกลี้ยง
นิสัยการขอไม่เกรงใจได้หนักกว่าแขกอีกนะคะ
เวลาเราเสิร์ฟเขามักจะไม่ขอเพียง 1-2 อย่าง แต่จะขอกันชนิดที่ว่าเอาคุ้มมากๆ
เวลาเราเสิร์ฟของพวกนี้ เราไม่ค่อยหวงหรอกว่าใครจะกินเท่าไหร่
ตราบใดที่คุณรับประทานอย่างมีมารยาท คิดถึงผู้อื่นบ้างตามสมควร
แต่เชื่อไหมว่าเวลาเราเสิร์ฟ drink ให้คนรัสเซีย
เขาจะไม่เกรงใจเราเลย บางคนขอเครื่องดื่มผสมทีละ 2-3 แก้ว
ราวกับกลัวว่าเราจะไม่เสิร์ฟให้เขาอีก
เราต้องใช้เวลาทำงานนานกว่าปรกติ
แต่นั่นไม่แย่เท่ากับการที่เราต้องปล่อยให้ผู้โดยสารคนอื่นๆรอนาน
บางทีเวลาดื่มแล้วเมา เขาก็จะอาละวาด หรือพูดจาเอะอะไม่เกรงใจใคร
อีกอย่างที่เราสังเกตได้คือ ชาวรัสเซียติดบุหรี่มาก มากกว่าคนเกาหลีเสียอีก
บ่อยครั้งเวลาที่เราทำงานบนไฟลท์ผู้โดยสารรัสเซีย
แล้วเจอผู้โดยสารสูบบุหรี่ในห้องน้ำเป็นประจำ
บางคนจับได้แล้วเตือนไปก็ทำท่าหงอยๆ
แต่บางคนกลับปฏิเสธ(ทั้งๆที่เห็นอยู่คาตา -_-')
เห็นพวกนี้ขึ้นมา ก็เหนื่อยซะแล้ว
วันนี้เราบินไฟลท์ดึกมาก แถมดีเลย์ ผู้โดยสารเลยไม่ค่อยอาละวาดกันเท่าไหร่
เจอแค่ผู้โดยสารเมา พูดไม่รู้เรื่อง
ขนของขึ้นมาราวกับย้ายบ้านจน overhead bin ไม่มีที่เก็บ
(ของเขาให้เก็บไว้ใน cargo จะหอบขึ้นมากันทำไมไม่ทราบ เปลืองที่แถมอันตรายอีกต่างหาก)
สูบบุหรี่ในห้องน้ำ ตามปรกติของผู้โดยสารรัสเซีย
มีเด็กเบบี๋คนนึง ซึ่งเขาก็น่ารักดีถ้าพ่อแม่ไม่เอากระโถนให้ลูกนั่งซะกลางเคบิน
เด็กอะไร เป็นฝรั่งหน้าตาน่ารักแต่อึเหม็นเป็นบ้า
กลิ่นอึน้องเด็กขจรทั่งเคบินเลย
อี๋!!!!!!!!!!!!!!!
มาถึงโรงแรมในสภาพเหนื่อยอ่อน
ขอนอนเอาแรงก่อนแล้วกันค่ะ
มีเวลาวันไหน จะมาเล่าเรื่องผู้โดยสารแสบๆจากชาติอื่นให้ฟัง
เรื่องเม้าท์ผู้โดยสารมีไม่จบไม่สิ้นจริงๆ

ปล. วันนี้มีผู้โดยสารใช้แบงค์ 2$ ซื้อของปลอดภาษี เราเลยแลกมาเก็บไว้เองซะเลย
หายากมากเลยนะคะ ตั้งแต่ทำงานมา เพิ่งเคยเห็นครั้งที่ 2 เอง
หวังว่าคงจะโชคดีอย่างที่เค้าว่ากันนะคะ
Image hosting by Photobucket
นี่คือแบงค์ 2$ ที่ได้มาค่ะ ดูเผินๆ ก็คล้ายกับแบงค์ดอลล่าร์แบบอื่น

Wednesday, February 08, 2006

DIARY FEB07,2006 ICN-SGN-ICN

เพิ่งกลับจาก SGN หรือ ไซ่ง่อนค่ะ
ไปไซ่ง่อนคราวนี้ไปกับเครื่อง A 330
ซึ่งปรกติเราจะใช้บินแต่ไฟลท์สิงคโปร์
ชั่วโมงบินพอๆกับบินกลับกรุงเทพฯ
คือประมาณ 5ชั่วโมงครึ่ง
กว่าจะไปถึงเล่นเอาเหนื่อยอ่อน
เพราะผู้โดยสารเต็มลำ แถมแอร์โซน C ที่เราทำงานอยู่มีแค่ 3 ชีวิต
กลายเป็นรุ่นพี่ขาย duty free ซะหนึ่งคน
บ่นกับรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันว่า
มาไซ่ง่อนคราวนี้เหนื่อยกว่าทุกที
รุ่นพี่บอกว่า เหรอ ไอรู้สึกเฉยๆนะ ไม่เหนื่อยมากเท่าไหร่
เรานึกในใจว่า ใช่สิ ก็ไอทำงานหนักอยู่คนเดียวนี่หว่า T_T
คราวนี้บินมากับแอร์ญี่ปุ่นชื่อโทมะ เป็นแอร์รุ่นเดียวกัน แต่เทรนจบก่อนเราแป๊บนึง
เจ๊แกเหมือนเกาหลีมากจนเราไม่รุ้สึกถึงความแตกต่างเลย
มาถึงโรงแรมนิวเวิร์ล หิวมากๆ เราเลซัดมาม่าเพื่อนยามยากไปห่อนึง
แล้วดูมหา'ลัยเหมืองแร่ มีความสุขมากมาย
Image hosting by Photobucket
โรงแรมที่ไซ่ง่อนค่ะ สวยงามหรูหราสมกับเป็นโรงแรม 5 ดาว
Image hosting by Photobucket
ห้องนอนในโรงแรมค่ะ

ตื่นขึ้นมาตอนเช้า (ที่จริงก็ไม่เช้าเท่าไหร่ ตื่นซะ11 โมง)
ต้นโทรมาโวยว่าย้ายโรงแรมไม่ยอมบอก
ที่จริงเราย้ายนานแล้ว แต่ต้นมันไม่จำเองตังหาก มาว่าเราได้ไง
คุยกันไม่นานเพราะค่าโทรไซ่ง่อนแพงดับจิต


Image hosting by Photobucket
โรงแรมที่เราอยู่มันอยู่ใกล้ตลาดมาก
เดินออกจากโรงแรมไปข้างหลัง
ข้ามแยกไปหน่อยเดียวก็เจอตลาดBenThanh แล้ว
ได้กินเฝอไก่อย่างมีความสุขที่ร้าน Pho 2000

Image hosting by Photobucket
เฝอไก่แห่งร้าน Pho2000ค่ะ เสิร์ฟพร้อมผักสดและมะนาวฝาน

ไม่รู้เราคิดไปเองหรือเปล่าว่า
เฝอต้นตำรับกินที่เวียดนาม
มันอร่อยกว่ากินที่ไหนๆในโลก
น้ำซุปกลมกล่อม ผักเสิร์ฟเต็มจาน มะนาวฝานอีกทั้งลูก
กินเฝออิ่มก็ข้ามถนนไปเดินที่ตลาดเบ็นทัน
( Ben Thanh Market หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่าเจ๋อเบิ๋นถั่น)

Image hosting by Photobucket
ภาษาหงึมหงำก๋ำก๋อยของชาวเวียดนามค่ะ ใช้ตัวอักษรโรมัน แต่อ่านออกเสียงกันคนละทางเลย

คราวนี้ช้อปปิ้งได้กระเป๋า Coach ปลอมมา 2 ใบ
ราคาสมกับคุณภาพค่ะ คือใบละ 5$ สำหรับกระเป๋าสตางค์ และ15$สำหรับกระเป๋าสะพาย
ซื้อเมืองไทยก็ได้ราคาประมาณนี้อยู่แล้ว
ไม่ซีเรียสมากเพราะเราไม่ติดกับยี่ห้อ หรือว่าของแท้ ของเทียม
เราใช้ได้เหมือนกัน เก็บเงินไว้ผ่อนบ้านดีกว่า
ไฟลท์ขากลับเรานอนพักกินบินซะเต็มอิ่มเลยไม่เหนื่อยมาก
ที่แย่คือมีพวกขายแรงงานชาวเวียดนามมากันเป็นกรุ๊ปเลย
พวกนี้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ภาษาเกาหลีก็ไม่สันทัด
เราเสิร์ฟลำบาก แต่ไม่แย่เท่ากับการกรอกเอกสารเข้าเมืองซึ่งวุ่นวายยังกับจับปูใส่กระด้ง
เราสงสัยเหลือเกินว่าลงไปเขาจะทำยังไงต่อไป เนื่องจากเราช่วยเขาเขียนไปแค่บางคน
แต่ถ้าจะให้เราเขียนทั้งหมดก็คงไม่ไหว
เพราะผู้โดยสารทั้งโซนประมาณ120กว่าคน เป็นพวกนี้เกือบทั้งหมด
วันหลังถ้ามีเวลาเราจะเล่าเรื่องของแรงงานที่เข้ามาทำงานในเกาหลีอีกครั้ง
แล้วจะรู้ว่ามันไม่ได้สะดวกสบายแบบที่ใครๆคิดกันเลย
หลังจากหมดไฟลท์และได้นอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่มแล้ว
ลุกขึ้นมากินข้าวกับเพื่อน ได้ออกไปถ่ายรูปกับหิมะด้วย
คิดว่าคงเป็นหิมะระลอกสุดท้ายของปีนี้
เมื่อเช้าตอนเครื่องลง หิมะตกลงมาเป็นสาย
เห็นไกลๆก็สวยดี แต่พอเห็นใกล้ๆแล้วสกปรกน่าดู
เห็นรูปตัวเองแล้วเศร้าใจค่ะ
คนอะไรไม่รู้ อ้วนจังเลย T_T
พรุ่งนี้กลับเมืองไทยแล้ว ดีใจจัง

Image hosting by Photobucket

รูปนี้ถ่ายนานแล้ว ตั้งแต่สมัยเห็นหิมะแรกของเกาหลีค่ะ
ตอนนั้นยังเป็นเด็กกะโปโลอยู่เลย ^^'

Saturday, February 04, 2006

อาหารบนเครื่องบิน

วันนี้ขอพักด้วยภาพสวยๆของอาหารที่เราเสิร์ฟบนเครื่องบินนะคะ
ปรกติเวลาที่เราขึ้นเครื่องบิน เราจะมีอาหารหลากหลายชนิดมาบริการ
ให้ผู้โดยสารของเราได้อิ่มท้องและเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง
นอกจากอาหารจะต้องมีความสวยงามน่ารับประทานและถูกหลักโภชนาการแล้ว
เรายังต้องคำนึงถึงสภาพการบนเครื่องบินด้วยค่ะวันนี้เรามาดูอาหารของผู้โดยสารปรกติคร่าวๆก่อนนะคะ







ไฟลท์ญี่ปุ่นหรือไฟลท์ที่บินในระยะเวลาสั้นกว่า 1 ชั่วโมง เราจะเสิร์ฟเป็น เบ็นโตะ เซ็ท หรืออาหารเย็นค่ะข้อดีคือเราไม่ต้องเสียเวลาอุ่นอาหาร เข็นเสิร์ฟได้เลย แต่มันดูไม่ค่อยน่าอิ่มท้องสักเท่าไหร่นานๆทีฉันถึงจะได้มีโอกาสบินไฟลท์ญี่ปุ่นกับเขาบ้าง ลองกินอาหารเบ็นโตะแบบนี้ อร่อยไปอีกแบบนะคะ


ภาพนี้คือ entree ค่ะ เป็นจานอาหารแบบร้อน เห็นหน้าตาแบบนี้ ฉันเคยได้ยินมาว่า entreeหนึ่งถ้วยให้พลังงานตั้ง 2,000กิโลแคลลอรี่แน่ะต้องเตรียมไว้เผื่อเวลากรณีฉุกเฉิน เครื่องต้องไปลงจอดในสถานที่ที่เราไม่สามารถหาอาหารได้ เราจะได้มีพลังงานสะสมไว้ในยามจำเป็นสำหรับผู้โดยสารนานๆกินทีก็คงไม่เป็นไร แต่แอร์อย่างเรา กินบ่อยๆ อ้วนค่ะ

แซนวิชค่ะ ใช้สำหรับเสิร์ฟไฟลท์ที่ชั่วโมงบินนานเกิน 6 ชั่วโมง แต่ไม่นานพอที่จะเสิร์ฟอาหารร้อน 2 มื้อ (เราเรียกว่า D type แบบระยะยาว)เช่น ไฟลท์ SIN, ALA, TAS, DEL และ CGK (ตอนนี้ปิดรูทบินนี้ไปแล้วค่ะ ยังไม่เคยไปเที่ยวเลย T_T)



อาหาร C type ค่ะ entree จะเป็นถ้วยทำจากฟอยล์ ใช้ครั้งเดียวทิ้ง สะดวกดี แต่เก็บลำบากจังค่ะบะหมี่เย็นที่เห็นนั่น มักจะมีเสิร์ฟในฤดูร้อน เป็นของโปรดของฉันเลย กินได้ทีละหลายๆถ้วย ไม่เบื่อค่ะ

ถาดนี้เป็นมื้อที่ 2 ของไฟลท์ E type หรือบินข้ามทวีป สังเกตได้จาก 1. ไม่มีน้ำส้มเซ็ทไว้ให้บนถาด และ 2.ขนมปังเสิร์ฟแบบอยู่ในถุง ไม่อุ่นให้ร้อนก่อน





นี่แหละค่ะอาหาร D type ที่เราบินไฟลท์ กรุงเทพฯ และประเทศแถบนี้ แสนจะคุ้นเคยเพราะเราบินกันบ๊อยบ่อยข้อสังเกตถาดอาหาร D type คือ มีถ้วยน้ำส้มเล็กๆวางไว้ให้ในถาด และเราจะเสิร์ฟขนมปังแบบอุ่นร้อนค่ะ อร่อยมากๆขอบอกในถ้วยเล็กภาพบนสุดนั่นคือสลัดมันฝรั่งใส่ไส้กรอก ของโปรดของฉันอีกแล้วค่ะ

ถาดนี้เป็นอาหารที่เราเสิร์ฟในไฟลท์ E type หรือเที่ยวบินระหว่างทวีป หน้าตาน่าทานไหมคะ เราเรียกว่าบิบิมบับ หรือข้าวคลุกแบบเกาหลี ทานตอนแรกอาจจะไม่อร่อย แต่กินไปเรื่อยๆ ก็อร่อยดีเหมือนกันค่ะเสิร์พพร้อมข้าวสวย ซอสโกจูจัง กิมจิ และซุปปลาค่ะ



มื้ออาหารเช้าเราเสิร์ฟกับขนมปังครัวซองต์ แทน ขนมปังกลม ( soft roll)ภาพบนเป็นถาดของไฟลท์ E type ค่ะ (ขนมปังไม่อุ่นก่อนเสิร์ฟ) ส่วนถาดล่างเป็นอาหารไฟลท์กรุงเทพฯ ผัดหมี่ใส่กุ้ง อร่อยมากๆอีกแล้วค่ะมีแค่ 2 ไฟลท์ที่เราจะเสิร์ฟอาหารแบบนี้นะคะคือไฟลท์ 744 และ 746 (BKK-PUS)



อาหารเช้าของชั้นธุรกิจค่ะ หน้าตาน่าสนใจไหมคะ











ของหวานจากชั้นธุรกิจค่ะ อะบายไม่สันทัดเพราะไม่ได้ทำงานชั้นธุรกิจ แต่ทั้งหมดนี้เคยรับประทานมาแล้วทั้งนั้น
ไม่อยากจะบอกเลยว่า ทำงานที่นี่มา 2 ปีกว่า น้ำหนักขึ้นไปร่วม 10 กิโลกรัมแน่ะค่ะ

กลับมาจากสิงคโปร์แล้วค่ะ


เพิ่งกลับจากสิงคโปร์ค่ะ
ถ้าใครที่สนิทกับเรามากๆก็จะพอรู้นะ
ว่าไฟลท์สิงคโปร์เป็นหนึ่งในไฟลท์ยอดเซ็งของเรา
ได้เมื่อไหร่ แสดงว่า ถึงเวลาไปกรวดน้ำทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรแล้ว
เพราะสิงคโปร์เป็นอะไรที่.....ห่วยอะ -_-'
เริ่มตั้งแต่flight time ที่ไกลระเบิดเถิดเทิง
เป็นไฟลท์ D type ที่ไกลที่สุดในแถบ South East Asia
วันนี้ที่ไปขาไปตั้งหกชั่วโมงครึ่ง
ขากลับห้าชั่วโมง ห้าสิบนาที
รู้ไหมว่าแปดชั่วโมงนิดๆ ก็บินไปถึงซิดนี่ย์ได้แล้วนะ (อันนี้เวลาหน้าร้อนนะ)

ภาพหอบังคับการของสนามบินชางกีที่สิงคโปร์ค่ะ
อีกอย่าง อันนี้สำคัญมาก
นิสัยการใช้บริการบนเครื่องบินของชาวสิงคโปร์
เป็นเรื่องที่ "สุดจะทน"จริงๆค่ะ
มีเคสหลายครั้งมาเล่าสู่กันฟัง
คือก็เข้าใจอะนะ ว่าคนเราขึ้นเครื่องบิน
ก็ย่อมคาดหวังการบริการที่สุดแสนจะดีเลิศ
บางทีต้องการอะไร ก็จะเอาให้ได้เดี๋ยวนั้น
เอ่อ....แต่ช่วยอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงหน่อยได้มั๊ย
ผู้โดยสารสิงคโปร์เนี่ย ติดอันดับความเรื่องมาก
ขึ้นมาปุ๊บ ต้องขอก่อนเลยอะไรที่เป็นของฟรี
ไพ่ ของเล่น ของชำร่วยของสายการบิน รองเท้าแตะ ยันไปถึงของ upgrade
เฮ้อ ! ของพวกนี้ที่จริงเราก็โหลดขึ้นมาในปริมาณที่พอเหมาะนะคะ
ช่วยเข้าใจนิดนึงว่าพื้นที่ในเคบินมันมีจำกัด
การที่ผู้โดยสารหนึ่งท่าน จะเอาของที่ระลึกสายการบินไปทุกอย่างเลยเนี่ย
..................
มันก็พอจะเป็นไปได้นะ ถ้าคนอื่นๆเขาไม่ขอ
คือเราไม่ได้โหลดมาตามจำนวนคนนะ
โหลดมาเผื่อๆผู้โดยสารต้องการให้เราอำนวยความสะดวก เราก็พอจะมีให้
อย่างเช่นไพ่สักสำรับนึง บางทีมาด้วยกัน เล่นด้วยกันไม่ได้เหรอ
ทำไมจะต้องมีคนละชุด
คือเข้าใจว่าอยากเก็บเป็นที่ระลึก
แต่ถ้าเรามีไม่พอ มันก็ไม่ใช่ความผิดของเราไม่ใช่เหรอ
เราเคยโดนผู้โดยสารก่นด่าบนเครื่อง เรื่องไม่มีของแจกให้
นึกในใจ กูผิดตรงไหนวะ !!!
ฮือๆๆๆๆๆๆ

ยังไม่หมดค่ะ ในการบริการอาหารและเครื่องดื่ม
ผู้โดยสารสิงคโปร์นี่ได้ชื่อว่าเป็นแชมป์อีกเหมือนกัน
แชมป์อะไรก็ได้ขอให้ได้คุ้ม
เอ่อ...ลืมอะไรไปหรือเปล่าเนี่ย
คุณขึ้นเครื่องบินมาเพื่อเดินทางนะคะ ไม่ได้มาเลี้ยงโต๊ะจีนลิง
บางทีเวลาเสิร์ฟอะไร ผู้โดยสารสิงคโปร์มักจะมี side oder เยอะผิดปรกติชาวบ้านเขา
มักจะอยากกินอะไรที่เกินความสามารถของแอร์
อะไรที่มันอยู่บนcart มักจะไม่เป็นที่ต้องการ แต่อยากได้อะไรที่แบบ.......
ไอ้การขอถั่วที่ใช้กินแกล้มเครื่องดื่มเล็กๆน้อยๆมันก็พอทน
(ถ้าขอทีเดียว แล้วแอร์ไม่ต้องเดินหลายรอบ)
แต่การขออะไรพิสดารเนี่ย แอร์อยากจะยกรถ cart ทุ่มหัวซะเดี๋ยวนั้น
เคยมีไฟลท์นึงที่เราเคยโดนผู้โดยสารขอชาโสมใส่นม
โอ้ !!! โดนครั้งเดียวไม่ว่า
แต่โดนแบบ เป็นสิบๆแก้ว (เนื่องจากผู้โดยสารต้องการความคุ้ม)
อยากจะบอกว่า แอร์ก็แทบตายเลยค่ะ
เวลาสั่งก็ไม่สั่งทีเดียวนะ
สั่งทีละแก้ว แล้วแบบ เราเดินขาขวิดเลย ฮือๆๆๆๆๆ
เวลามี meal service ผู้โดยสารสิงคโปร์ก็ติดอันดับเรื่องมาก (แบบรู้มากไง)
เราเข้าใจนะ เวลาที่คุณไม่กินอะไรบางอย่าง
ตามหลักศาสนา หรือหลักการดำรงชีวิตอะไรก็ตามของคุณ
แต่ช่วยสั่งอาหารพิเศษได้ไหม
(เรื่องนี้ผู้โดยสารไทยก็เป็นค่ะ ขอบอก)
บนเครื่องที่เราบินอยู่อาหารมักมี 2 อย่างให้เลือก
คือเนื้อวัว (ของแพงของชาวเกาหลี) และอาหารทะเล
เราเคยโดนบ่นเรื่องทำนองนี้มาเยอะ
เช่น เนื้อวัวกินไม่ได้ อาหารทะเลก็แพ้ ไปเอาอาหารจาก business classมาให้กินทีสิ
โห ! เล่นแบบนี้เลยเหรอคะ คุณผู้โดยสาร
คนเดียวไม่เป็นไร
แต่วันนั้นที่เจอ ประมาณ เกินครึ่งของผู้โดยสารพูดแบบนี้กับเรา
สงสัยจะได้รับการบอกเล่ามาเหมือนๆกัน
เราเลยทนไม่ไหว สติขาดผึงลงที่ผู้โดยสารงี่เง่าคนหนึ่ง
มาทำท่างี่เง่าๆใส่เรา แล้วแบบ หาว่าเป็นความผิดของเรา
ไอไม่กินเนื้อ แล้วก็แพ้อาหารทะเล ยูไปเอาอาหารชั้นธุรกิจมาเสิร์ฟทีซิ
ไอไม่รู้มาก่อนว่ามีเมนูอะไร ทำไมสายการบินยูแย่แบบนี้
ถ้าเป็นสิงคโปร์แอร์ไลน์ที่ไอเคยนั่งนะ ไม่มีทางเสิร์ฟอาหารแย่ๆแบบนี้แน่นอน
เราเลยตอบไปว่า
As you know, this is the aircraft, not the restaurant
เราเองก็เป็นแอร์ ไม่ได้เป็นคนทำกับข้าว
จะให้เรามาทำกับข้าวให้ใหม่บนเครื่อง เราคงทำไม่ได้
และวันนี้ Business Classก็เต็มทุกที ไม่มีอาหารเหลือแน่นอน
เราขอโทษถ้าทำให้ยูรู้สึกแย่ แต่ถ้าไม่กินข้าว งั้นเอาถาดอาหารไปนะ
กินพวกสลัดและขนมที่อยู่ในถาดไปก็แล้วกัน แล้วไอจะเสิร์ฟขนมปังเพิ่มให้ ยูจะได้มีอะไรรองท้อง
นังสิงคโปร์นั่นก็ทำท่าแบบ เซ็งสุดๆ แล้วก็บอกเราว่า
เออ งั้นเอาปลามา แล้วไอจะเขียนจดหมายคอมเพลนบริษัทยู ว่าเอาอะไรมาเสิร์ฟไม่รู้ ห่วยจริงๆ
แล้วก็จัดการกินอาหารทะเลนั่นจนหมดจาน
(จริงๆก็กินได้นี่หว่า ไม่เห็นมันแพ้อะไรเลย ดัดจริตจริงๆ เราดูออก)
o~o~o~o~o~o~o~o~

กลับมาเล่าถึงสิงคโปร์คราวนี้ต่อดีกว่า
ไม่มีอะไรพิเศษเลยค่ะ
แค่มีความสุขในโรงแรม ดูหนังแผ่น ตั้ม-โอ๋ รีเทิร์น
อย่าบอกใครเขาเชียวว่าเราเพิ่งได้ดู ดีเลย์สุดๆ
ตื่นมาก็ไปกิน Yong Tau Foo และข้าวมันไก่ที่ Tanglin Mall หลังโรงแรมเหมือนเดิม

นี่แหละค่ะ Hainanese Chicken ที่แสนจะเลื่องชื่อของสิงคโปร์

นี่คือหน้าตาของเกาเหลาเย็นตาโฟแบบสิงคโปร์ หรือ Yong Tau Foo ค่ะ ทั้งแบบก่อนปรุง และหลังปรุงแล้ว
เวลาจะกิน เขาจะให้เราเลือกแบบคล้ายๆบุฟเฟต์ว่าเราจะใส่กี่อย่าง แล้วไปลวกตรงที่คิดตังค์


ดีตรงที่คราวนี้เราเอา notebookไป ดักจับสัญญาณไวร์เลสได้เยอะเลย
ถึงจะโดนบล็อคบ้าง แต่เราก็มีเน็ทฟรีใช้แหละเนอะ
สบายดีจริงๆ
พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเรา นอนตีพุงหนึ่งวันก่อนไปไซ่ง่อนวันมะรืน
คิดถึงเมืองไทยที่สุดเลย

หน้าตาของ Luksa หรือก๋วยเตี๋ยวสิงคโปร์ค่ะ