Monday, January 28, 2008

ความทรงจำสีจาง

มาคุยเรื่องของเกาหลีกันต่อ

เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้กันหรอกนะ ว่าความรู้สึกผูกพันกับเกาหลีของเรามันไม่ได้เกิดขึ้นตามกระแสนิยมแบบที่เด็กสมัยนี้เห่อเกาหลีกัน แต่มันเริ่มมาตั้งนานแล้ว

เกือบยี่สิบปีมาแล้วแน่ะ

จำได้ว่าตอนสมัยประถม เราเป็นเด็กกิจกรรมพอสมควร
ทางโรงเรยนจัดงานอะไร ก็มักจะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปทำกิจกรรมต่างๆเสมอ
วันหนึ่งทางโรงเรียน 한잔 ส่งจดหมายมาที่โรงเรียน ขอให้ส่งตัวแทนนักเรียนไทยไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศเค้า
ทางโรงเรียนก็ส่งPROFILE เด็กๆไป
ได้รับเลือกซะงั้น


จำได้ว่ามันไม่ใช่การเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก
(ครั้งแรกน่ะ ไปอยู่ตุรกีตอนแปดขวบ !!! แม่ก็ช่างกล้า ส่งลูกไป เนอะ
ไว้วันหลังจะมาเขียนเก็บเอาไว้ ถ้าไม่ลืมซะก่อน )

ตอนนั้น ด้วยอารมณ์เด็ก ยังไงก็อยากไปเที่ยวทั้งนั้นแหละ
รายละเอียดว่าเค้าเลือกใคร ส่งไปยังไงน่ะ จำไม่ได้แล้วเพราะมันนานมาก
เอาเป็นว่าในที่สุด ก็ได้ไปเกาหลีสมใจ

จำได้ว่าเดินทางโดยสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ (ปัจจุบันมันเลิกบินเข้ากรุงเทพแล้ว ไอ้สายการบินนี้)
ไปลงที่สนามบินคิมโป ในเวลานั้นเกาหลียังไม่สนามบินอยู่แห่งเดียว

นี่แหละท่าอากาศยานนานาชาติ คิมโป หรือ 김보 공항

Photobucket

ใครจะคิดว่า 13 ปีถัดมา เราจะได้กลับมาที่คิมโปอีกครั้ง
ไม่ใช่ในฐานะผู้โดยสาร แต่เป็นในฐานะคนที่ทำงานภายในสนามบินแห่งนี้
กลับมาในฐานะลูกเรือ

นี่แหละ ครอบครัวที่เราไปอาศัยอยู่กับเค้าเหมือนเป็นลูกเค้าอีกคน
아빠 อ่านว่า อาปา หรือ คุณพ่อ ชื่อ 김숭억
엄마 อ่านว่า ออม่า หรือคุณแม่ ชื่อ 이후진
언니 อ่านว่า ออนนี่ หรือพี่สาว ชื่อ 김지하
남동생 อ่านว่า นัมทงเซง หรือน้องชาย ชื่อ 김완석

Photobucket


ครอบครัวเกาหลีที่เราไปอยู่กับเขานั้นเป็นครอบครัวเกาหลีที่มีความเป็นเกาหลีอยู่สูงมาก
พ่อทำงานเป็นพนักงานบริษัท แม่เป็นแม่บ้าน
ลูกสองคนเรียนหนังสือที่โรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งที่จริงก็คืออพาร์ทเม้นท์
เพราะคนเกาหลีไม่ค่อยอยู่บ้านกันหรอกค่ะ
ราคาบ้านและที่ดินที่โซลแพงจนคนฐานะธรรมดาอย่างเราๆไม่ซื้อบ้านอยู่กัน

อพาร์ทเม้นท์ของครอบครัวนี้ตั้งอยู่ชานเมืองของกรุงโซล
จะว่าไป มันก็เป็นลักษณะของอพาร์ทเม้นท์ทั่วไปในเกาหลี คือมีตึกที่อยู่อาศัยสูงหลายชั้น
ย่านใกล้เคียงมีร้านค้า สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือป้ายรถเมล์และสถานีรถใต้ดิน
มีโรงเรียนและโรงพยาบาลอยู่ในชุมชนเพื่อเป็นสวัสดิการในคนในชุมชนนั้น
มีบริเวณที่เปิดเป็นร้านอาหาร ทั้งร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารตามสั่ง ถัดไปในซอยมักเป็นร้านหมูกะทะและร้านเหล้า

ไม่รู้ว่าที่เกาหลีมีการวางระบบผังเมือง หรือวางแผนการสร้างเมืองหรือเปล่า
แต่สิบปีให้หลัง เมื่อมีโอกาสได้ไปอยู่เกาหลีอีกครั้ง ก็สังเกตเห็นว่าชุมชนทุกแห่งที่เกาหลี จะมีการวางระบบแบบนี้เหมือนกันทุกที่


เช้าขึ้นมาออม่าจะตื่นแต่เช้า ทำอาหารให้ทุกๆคนในบ้านกิน แล้วจึงทำงานบ้านหลังจากที่ทุกคนออกจากบ้านไปแล้ว

Photobucket


อาหารเช้าที่กินกันบ่อยๆมักเป็นพวกไข่ดาว ไส้กรอกทอด สแปมทอด และอาหารเกาหลีเช่น ปลาตัวเล็กๆ ผักปรุงกับน้ำมันงา และที่ขาดไม่ได้ก็คือกิมจิ
คนเกาหลีมีกิมจิหลายแบบมาก ที่คนไทยกินกันบ่อยๆ จะเป็นกิมจิผักกาด แต่ที่เกาหลี มีกิมจิจากผักอื่นๆด้วย เช่นกิมจิไชเท้า กิมจิแตงกว่า กิมจิต้นหอม หรือแม้แต่กิมจิพริก เราเองก็ไม่เคยลองกินหรอกค่ะ ไอ้กิมจิพริกเนี่ย แต่คิดว่าน่าจะเผ็ดมาก

อาหารเกาหลีจะเน้นเผ็ด แต่ความเผ็ดจะต่างจากอาหารไทย คงเป็นเพราะเครื่องเทศต่างกัน
อาหารไทยจะเผ็ดร้อน มีกลิ่นเครื่องเทศฉุน ในขณะที่อาหารเกาหลีจะไม่ใส่เครื่องเทศที่มีกลิ่นรุนแรงมากเท่าอาหารไทย


Photobucket

โรงเรียนที่เราไปเรียนกับจีฮา คือโรงเรียนใกล้ๆบ้านเขานั่นแหละค่ะ เดินไปเรียนยังได้
นักเรียนทั้งโรงเรียนมีประมาณสามพันกว่าคน นับว่าใหญ่โตเอาการสำหรับโรงเรียนประถม

จำไม่ได้แล้วว่าหลักสูตรที่เค้าเรียนกันเป็นอย่างไร แต่จำได้ว่าเด็กประถมของเกาหลีเค้าเรียนกันสบายๆกว่าเด็กไทยนะคะ
คงจะไปเริ่มเรียนกันดุเดือดตอนเข้ามัธยมไปแล้ว เพราะได้ยินมาเหมือนกันว่าเด็กเกาหลีเรียนกันเครียดกว่าเด็กไทย
ชั้นเรียนเกาหลีที่เคยไปสัมผัส เค้าจะสอนอะไรเกี่ยวกับเรื่องวันในชีวิตประจำนมากกว่า
เขาชอบเน้นกิจกรรมให้เด็กมีส่วนร่วม เน้นให้เด็กลุกขึ้นพูด เน้นให้ออกไปแสดงความเห็นหน้าชั้นบ่อยๆ
แล้วก็ชอบให้มีงานกลุ่ม ชอบให้เด็กทำงานศิลปะเป็นกลุ่มไปแปะตามฝาห้อง (พูดแล้วงง) สรุปคือสำหรับชั้นประถม เค้าจะเน้นให้เด็กรู้จักการทำงาน รู้จักเข้าสังคมมากกว่าให้เรียนกันจริงๆจังๆ

น่าแปลกว่าทำไมพอโตขึ้นแล้วคนเกาหลีนิสัยเข้าสังคมยากก็ไม่รู้
ทำงานกับคนเกาหลีกี่คนๆ ก็เป็นพวกประหลาด เข้าสังคมยาก แถมยังเห็นแก่ตัวอีกต่างหาก

อ้อ ! แต่ก็ยอมรับค่ะ ว่าคนเกาหลีทำงานเก่งจริงๆ ทีมเวิร์คเค้าเก่งกันมากๆ
ทำงานกับเกาหลีมาสามปีกว่า ยังได้นิสัยการทำงานเป็นทีมเวิร์คกลับมาเลย


Photobucket

วอนซ็อก น้อชายตัวน้อยชาวเกาหลี
ตอนนั้นวันซ็อกอายุประมาณ 6 ขวบ ยังเด็กมาก แล้วก็ซน ชอบแกล้งเรา ซึ่งเป็นพี่สาวต่างชาติ
ไม่รู้คนที่เป็นน้องชายมันชอบแกล้งพี่แบบนี้ทุกคนรึเปล่า เพราะทุกวันนี้เราก็หัวหมุน เพราะโดนเจ้าเด็กยักษ์แกล้งเอาบ่อยๆ
ถึงจะแกล้งแซว แต่มันก้อคือแกล้ง ใช่ไหมล่ะ
T_T

เราเองไม่ค่อยได้คุยอะไรกับวอนซ็อกมากนัก คงเป็นเพราะตอนนั้นกลัวเด็กผู้ชาย วางตัวไม่ค่อยจะถูก แถมยังพูดกันไม่รู้เรื่อง
แค่โดนแกล้งทุกวันก็จะแย่อยู่แล้ว
แต่ก็ยังจำความน่ารักของเค้าได้จนถึงทุกวันนี้
จำได้ถึงวันที่ร้องไห้คิดถึงบ้าน แล้วน้องชายตัวน้อยเดินเข้ามากอด พูดแค่ว่า Don't cry. แค่นี้ก็รู้สึกดีมากๆ
ไม่รู้ว่าเราต่างจากเค้ามากรึเปล่าเวลาเราทำอะไร เค้าก็จะสนอกสนใจเรา เดินตาม ดูเราทำอะไร แล้วก็ไปเล่าให้พีสาวกับแม่ฟัง


Photobucket

ส่วนจีฮา พี่สาวชาวเกาหลี อายุไล่เลี่ยกัน เวลาไปโรงเรียนก็นั่งเรียนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน กลับด้วยกัน
เลยสนิทกว่าวอนซ็อค อารมณ์เหมือนเพื่อนผู้หญิง คุยกันกุ๊กกิ๊กๆมากกว่า
เวลาไปโรงเรียน แล้วเรากินอาหารไม่ได้ ก็จะได้จีฮาคอยแบ่งอาหาร แบ่งขนมให้
เราชอบกินผลไม้ จีฮาก็จะคอยแบ่งให้ตลอด เพราะเค้ารู้ว่าเรากินอาหารเกาหลีไม่ค่อยได้
เวลาเราคุยกับเด็กเกาหลีคนอื่นๆในห้องเรียนไม่เข้าใจ จีฮาก็จะช่วยอธิบายให้ฟัง
ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ไม่ได้พูดเกาหลีเก่งอะไร แค่พอคุยกับเค้าได้

ทำไมโตขึ้นแล้วไอ้ที่เคยคุยได้เป็นเรื่องเป็นราว มันหายไปหมดเลยก็ไม่รู้
ทุกวันนี้ skill ภาษาเกาหลี เข้าขั้นพิการ
ดูหนังฟังเพลงไม่รู้เรื่อง เฮ้อ !

Photobucket

อาปา หรือคุณคิมซุงอ็อค เป็นคนเงียบๆ พูดน้อย แต่ดื่มหนัก
ไม่ค่อยได้สนิทกับเค้าเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกัน
จำได้แต่ว่าเค้าชอบดูกีฬา โดยเฉพาะมวย เบสบอลและฟุตบอล ซึ่งทั้งสามอย่างนี้ เราดูไม่เข้าใจสักอย่าง
เวลาค่ำๆ อาปากลับมาบ้าน ออม่าก็จะทำอาหารว่างง่ายๆไปวางให้เค้าหน้าทีวี
แล้วเค้าก็จะดูทีวีเอาเป็นเอาตาย จนกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น
หลังอาหาร เค้าก็นั่งคุยกันกับออม่าสองคน ไม่รู้คุยกันเรื่องอะไร เพราะตอนนั้นเราก็เด็กมากเกินกว่าที่จะสนใจเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกัน

เท่านี้จริงๆ ที่เราพอจะจำได้


แปะอีกรูป จำได้ว่าเป็นวันหยุดสักอย่าง แล้วทางโรงเรียนก็พาเด็กไทยที่ไปด้วยกันคราวนั้นไปเที่ยวสวนสนุกโซลแลนด์
กลับไปเกาหลีอีกครั้ง สวนสนุกนี้สูญพันธุ์ไปซะแล้ว !!!
คงพบชะตากรรมเดียวกันกับสวนสยาม หรือแดนเนรมิตนั่นแหละ

Photobucket

เด็กเกาหลีสมัยนี้ ถ้าพูดถึงโซลแลนด์ คงไม่มีใครรู้จัก เพราะเค้าจะเน้นไปเที่ยวเอเวอร์แลนด์กันมากกว่า


แปะรูปเอเวอร์แลนด์ซะหน่อย
เปรียบเทียบกัน

ตอนนั้นไปกับยัยเพื่อน

Photobucket

ส่วนคนนี้ พี่สาวชาวเกาหลีอีกคน เธอชื่อ 양조진
จำไม่ได้จริงๆว่าทำไมตอนนั้นถึงได้มีโอกาสไปนอนเป็นลูกบ้านนั้นอยู่สามวัน
แต่เพราะไม่ได้เอากล้องไปถ่ายรูปที่บ้านเค้า แล้วเค้าเองก็เป็นคนเงียบๆ
เลยไม่ได้คุยอะไรกันมาก แล้วก็ลืมเรื่องราวในช่วงสามวันนั้นไป
แต่ก็จำได้ว่าออม่าบ้านนั้นใจดีมากกกกกกกกกกกกกกก

นี่คือรูปพี่โชจินตอนที่เค้ามาเที่ยวเมืองไทย ประมาณหนึ่งปีหลังจากที่เรากลับมาจากเกาหลี

Photobucket

ทั้งจีฮาและพี่โชจินมาเที่ยวเมืองไทยพร้อมๆกัน แต่ทำไมเราจำรายละเอียดช่วงนั้นไม่ได้เลยก็ไม่รู้
คงเป็นเพราะหลังจากกลับจากเกาหลี เราก็มัวแต่วุ่นวายเรียนพิเศษตอนมอหก เพราะจะไปสอบเข้าโรงเรียนหอวัง
แล้วช่วงนั้นก็ได้เป็นตัวแทนไปสอบแข่งขันอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ
พอจีฮาและพี่โชจินมาไทย เลยไม่ค่อยได้อยู่กับเค้า ทิ้งให้พ่อกับแม่ดูแลพี่สาวเกาหลีทั้งสองคนนี้ไป

แก้ตัวย้อนหลังว่า ตอนนั้นเราเป็นเด็ก เลยไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนั้น

แปะอีกรูป ที่เคยถ่ายคู่กับพี่โชจิน
ตอนนั้นเค้าพาเราไปเที่ยวเคียงบ็อคกุง หรือพระราชวังเคียงบ็อค
สิบกว่าปีผ่านไป เราได้กลับไปที่นั่นอีกหลายครั้ง
กลับไปกี่ครั้ง เคียงบ็อคกุงก็ยังหน้าตาเหมือนเดิมเรย
^_^'

Photobucket


และหลังจากที่จีฮาและพี่โชจินกลับเกาหลีไปคราวนั้น
เราก็ไม่ได้เจอกับพวกเค้าอีกลย
ไม่มีการติดต่ออะไรอีกเลย
เพราะครอบครัวเกาหลีทั้งสองบ้านนี้ เค้าไม่พูดภาษาอังกฤษกัน เขียนจดหมายคุยกับเราไม่ได้
พอจีฮาและพี่โชจินจบปอหก ออกจากโรงเรียนนั้นไป ก็ไม่มีคุณครูคอยช่วยเขียนจดหมายตอบโต้ให้เรา
อินเตอร์เน็ท อีเมล MSNไม่ต้องพูดถึง
สมัยนั้นไม่มีใครรู้จักสักคน
การโทรศัพท์ไปเกาหลีเป็นสิ่งที่แพงมาก

ชีวิตเราก็กลับมาวุ่นวายกับการย้ายโรงเรียนไปเรียนในกรุงเทพฯ
ไปเจอสังคมใม่ๆ ไปเจอเพื่อนใหม่ๆ
เรื่องราวของพี่จีฮา ก็ค่อยๆเลือนไปตามกาลเวลา
แต่ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่จะลืมพี่สาวคนนี้


กลับมาดูรูปพวกนี้อีกกี่ครั้งก็ยังรู้สึกดีเสมอ
ครั้งหนึ่ง เราเคยมีพี่สาว น้องสาว และน้องชายร่วมโลก
แค่โลกหมุนให้เรามาเจอกัน แม้ว่าวันหนึ่ง มันจะผ่านไปแล้วไม่หวนคืนมาอีกเลย

ทุกวันนี้ ถ้าเราเดินสวนผ่านกันไป เราคงจะจำจีฮาไม่ได้อีกแล้ว
คิดแค่นี้ ก็รู้สึกเจ็บปวดนะ
ไม่รู้ว่าจีฮาจะยังจำเราได้ไหม
ลืมวันเวลาอันแสนสนุกที่เคยมีด้วยกันไปหรือยัง
หรือว่าลืมเราไปแล้ว

จีฮาจะรู้บ้างไหม

ทุกครั้งที่มีโอกาส เราหาทางกลับไปที่เกาหลีเสมอ
ตอนอยู่ปีสี่ มีงานประชุมที่เกาหลี ก็ยอมขาดสอบมิดเทอม เพื่อกลับไป
หลังเรียนจบ สมัครงานเข้าทำงานกับเอเชียน่า ทั้งๆที่ได้งานที่อื่นด้วย
เพราะอยากกลับไปเกาหลี ไปตามหาพี่สาวที่แสนดีอีกครั้ง
ที่อยู่เก่าที่เราเคยไปอยู่กับเค้า ไม่มีจีฮาอีกแล้ว
ทั้งจีฮา และพี่โชจิน ย้ายบ้านกันไปทั้งคู่
คนที่อยู่ในอพาร์ทเม้นท์แถวนั้น ไม่มีใครรู้จักจีฮาสักคน
ทั้งๆที่โรงเรียนฮันชันยังอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม
คุณครู และผู้คนที่เราเคยเจอ หายไปหมด
ไม่มีใครสักคนที่อยู่ที่เดิม ให้เราตามหา

รู้ว่าเธอยังอยู่บนโลกกลมๆใบนี้
โลกที่ว่ากลม บางทีก็ไม่กลมเสมอไปหรอกนะ

คิดถึงเธอที่สุดนะจ๊ะ...คนดี


Photobucket

같은 하늘 아래 살아도
อยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน
다시는 못 볼 사람
ก็ไม่ได้พบกันอีกแล้ว

.......

우리 평생을 살아가는 동안
ชั่วชีวิตของเราทั้งคู่
만날 순 없겠지만
ไม่ต้องเจอกันอีกเลยก็ได้
이토록 사랑했던 나를..
แต่ความรักของฉัน
잊지는 말.. 아요...
อย่า..ลืม...


Saturday, January 26, 2008

보고싶어요 คิดถึงเธอนะ...คนดี

เพลง아리랑 ของ SG 워너비เป็นบทขยายของเพลงพื้นเมืองเกาหลีที่คนไทยรู้จักกันดี


아리랑, 아리랑, 아라리요
อารีรัง อารีรัง
아리랑 고개로 넘어간다.
ข้ามผ่านเนินเขาอารีรัง
나를 버리고 가시는 님은
เธอทิ้งฉันไป T_T
십리도 못가서 발병난다.
ไปได้สิบลี้ เท้าจะต้องเจ็บปวด

แปลว่าเดี๋ยวเค้าก็กลับมาเองแหละ

เฮ้อ !
เศร้าจัง

ส่วนเพลงอารีรังด้านล่าง
วัยรุ่นเกาหลีเอามาตีความใหม่
เพราะดีเหมือนกัน

พยายามแปลเอง
เน่าสนิท T_T

เทียบกับคนที่เคยแปลเอาไว้
ความหมายไปซะคนละทาง
ภูมิใจ๊...ภูมิใจ

^_^'



아리랑 by SG 워너비


꿈에.....서라도 만난다면 가지 말라고 하겠어요
ในฝันนั้น....หากได้พบกัน คงบอกเธอว่าอย่าจากฉันไปเลย
마지막 인사도 없이 떠나간 내 사랑
ที่รัก ในที่สุด เธอก็ไม่ได้กล่าวคำลา
이별길 넘어가시다
กว่าจะก้าวพ้นจากการเลิกรา
발병이라도 나신다면
แม้ว่าจะเจ็บปวด
못난 내 품에서 잠시 쉬어가세요
มาเถอะ มาพักพิงในอ้อมแขนของฉันสักชั่วครู่
혹시나 내게 찾아오시는 길 못찾을까 걱정돼
บางที ถ้าเธอหาทางไม่พบกันไม่ได้
달님에게.....나 부탁해 그댈 비춰드릴께요
(จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ~ โอ๊ะ บ้านนอกไปใช่ไหม -_-' )
จันทร์เอย.....ช่วยทอแสงนำทางหน่อยได้ไหม


사람아 내 사람아
ที่รัก ที่รักของฉัน
불러도 대답없는 내 사람아
เธอ ผู้ไม่รับรู้อะไรจากฉันเลย
같은 하늘 아래 살아도
(แม้ว่าจะ)อยู้ใต้ฟ้าเดียวกัน
다시는 못 볼 사람
ก็ไม่ได้พบกันอีกแล้ว
나는 천번을 다시 태어나도 그댈 사랑합니다
ให้เกิดใหม่อีกสักพันครั้ง ก็ยังจะรักเธอ
오늘도 기다리는 나를
วันนี้(เช่นกัน) อย่าลืมว่าฉันรอ
잊지는 말아요..
อย่าลืม.....


험한 가시밭 길 지나서
จะข้ามผ่านขวากหนาม
그댈 만날 수만 있다면
หากมันทำให้เราพบกันได้
두 발이 헤져 닳아도 그 길을 걸으리
แม้จะต้องเจ็บปวดเท้าทั้งสองข้าง
벌써 십리밖을 지나서 돌아오시기 버겁다면
ถ้าเธอผ่านไปไกล(ถึงสิบลี้ =>ภาษาเค้าแปลแบบนี้จริงๆอ้ะ )ไกลเกินไปหากจะหวนคืน
다른 이 통해서라도 편히 쉬세요
ขอให้มีความสุขกับคนอื่น
가시는 길 꽃잎은 뿌리지 못해도
(แม้ว่า)ท้ายที่สุด จะไม่ได้โปรยดอกไม้บนทางให้เธอเดิน
그대 행복하세요
ก็ขอให้เธอมีความสุข
보내드리고 우는 일 되려 그대 걱정이죠
กลัวเหลือเกินว่า (วันนี้ )เธอจะร้องไห้เมื่อต้องจากกัน



사람아 내 사람아
ที่รัก ที่รักของฉัน
불러도 대답없는 내 사람아
เธอ ผู้ไม่รับรู้อะไรจากฉันเลย
같은 하늘 아래 살아도
แม้ว่าจะอยู้ใต้ฟ้าเดียวกัน
다시는 못 볼 사람
ก็ไม่ได้พบกันอีกแล้ว
나는 천번을 다시 태어나도 그댈 사랑합니다
ให้เกิดใหม่อีกสักพันครั้ง ก็ยังจะรักเธอ
오늘도 기다리는 나를 잊지는 말아요..
วันนี้(เช่นกัน) อย่าลืมว่าฉันรอ อย่าลืม.....


보고싶은 내 사랑아..
คิดถึงนะ คนดี


사랑을 잊은다면
ถ้าลืมความรักนั้นไปแล้ว
돌아보지 말고....그냥 가세요
จงอย่าหวนคืน....เดินหน้าต่อไปเถอะ
한번쯤은 나를 찾아 줄 기대조차 못하게
แม้สักครั้ง ก็อย่าปล่อยให้ฉันคาดหวัง
우리 평생을 살아가는 동안
ชั่วชีวิตของเราทั้งคู่
만날 순 없겠지만
ไม่ต้องเจอกันอีกเลยก็ได้
이토록 사랑했던 나를..
แต่ความรักของฉัน
잊지는 말.. 아요...
(โปรด) อย่า....ลืม....

ฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงใครบางคนในความทรงจำ


ใครบางคนที่แม้จะเดินสวนกันอีกครั้ง ก็คงจะไม่รู้จักกันอีกต่อไป


To be continued......


김지하 , 나를 기다리요.





Sunday, January 20, 2008

ยินดีด้วยนะจ๊ะบีวิช




ยินดีด้วยจากใจ
กับจุดหมายของเธอในวันนี้
มองดูความสำเร็จที่เธอมี
ฉันยินดีไม่น้อยไปกว่าใคร
ไม่เสียทีกับความมุ่งมั่น
ว่าคนเก่งของฉันต้องทำได้
อาจไม่มีของขวัญอย่างใครใคร
แต่มีกำลังใจมอบให้...ตรงที่เดิม

Photobucket


ยินดีด้วยจริงๆจ้า บีวิช ^_^
เอาหละ

หลังจากดองมันมานาน ก็ได้เวลาโพสท์รูปวันรับปริญาบีวี้ดซะที

ในบรรดาชาว TKC Staff ทั้งหมด บีวี้ดเป็นชาวคิงคองที่เราสนิทด้วยที่สุด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสารเคมีในร่างกายมันจูนกันได้พอดี
หรือว่าเป็นเพราะคุยกันแล้วมันรู้สึกลงตัว
แต่ทำให้รู้สึกว่าบีเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน เป็นมากกว่าน้องในคลับคนอื่นๆ
ถ้าถามว่ารักบีไหม คงตอบไม่ถูก
รักมากกว่าเพื่อนร่วมคลับ
รักเหมือนน้องแท้ๆ

ไม่รู้เหมือนกันว่าบีมันจะรักเราแบบนี้รึเปล่า
แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร

เท่าที่ได้รู้จักกับบี ได้สนิทสนมกันมาพอสมควร
ทำให้รู้ว่าที่จริงบีเป็นเด็กที่เหงามาก นอกจากเพื่อนสนิทไม่กี่คน บีไม่มีใครเลยจริงๆ
มันสะท้อนให้เห็นภาพตัวเราเองในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต

ยังจำได้ดีวันที่ไม่มีใครเลย
มีชีวิตไปวันๆ อย่างเหงาๆคนเดียว
มีปัญหาอะไร ปรึกษาใครไม่ได้
จำได้ดีว่ามันแห้งแล้งแค่ไหน

เพราะรู้ว่าการอยู่คนเดียวในโลก มันทรมาน
ดังนั้น ถ้าได้รู้ว่ามีใครที่รู้สึกอย่างนั้น เราถึงทนไม่ได้
ต้องเสนอหน้าไปให้เค้ารู้ว่า บนโลกเบี้ยวๆใบนี้เค้าไม่ได้เหงาอยู่คนเดียว
ยังมีเราเหงาเป็นเพื่อนอีกคนนะจ๊ะ

บีคือหนึ่งในนั้น

เมื่อถึงวันสำคัญของบี เลยบอกตัวเองว่า ยังไงก็ต้องไปให้ได้ ทั้งวันถ่ายรูป และวันรับจริง
จำได้ว่าบีเล่าให้ฟังว่าวันนั้น คงไม่มีใครมางานบีแน่ๆ เพราะเพื่อนคนอื่นๆบีก็ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ ก็มีแต่เพื่อนกลุ่มของแฟร์ และพวก TKC Pretty (พูดได้ไม่อายปากเนอะ) พ่อแม่อาจจะมา แต่เดี๋ยวก็กลับ วันรับจริงพ่อแม่ก็คงไม่ได้มา

บีคงเหงามากมายในวันสำคัญ

อยากให้บีรู้ว่า บีมีพวกเรานะ

พล่ามมามากมาย
เอาหละ ดูรูปๆๆๆๆ

ก่อนจะเจอบี เราก็ถ่ายรูปเล่นกันก่อน
เพราะตอนที่ไปถึง บียังถ่ายรูปหมู่ไม่เสร็จ

Photobucket

อืม...เอแบคบางนา เค้าสถานที่สวยดีจริงๆ

Photobucket

ถ่ายรูปกับบีค่ะ แทนบีจริงๆไปก่อน

Photobucket

สาวๆที่ไปในงานวันนั้นค่ะ
บีมีเพื่อนที่ไปงานสองกลุ่ม คือกลุ่ม TKC Pretty และเพื่อนสตรีวิทย์ 2 ของบี
สุภาพสตรีที่สวยสง่าอยู่กลางภาพคือคุณแม่ของบีวิชค่ะ

Photobucket

และสาวๆชาว TKC สาวกคิงคอง

Photobucket

งามงดสดใสมากค่ะ สาวๆแก๊งนี้

มีเราเป็นพี่ใหญ่ นำทัพ
ต่างจากตอนที่อยู่ JBT เป็นน้องเล็กสุดในกลุ่ม JBT Crew รุ่นแรก

Photobucket

ขอสักรูปค่ะ
ถ่ายคู่กับบัณฑิตน้อย
Photobucket


นานๆจะได้ถ่ายรูปคู่กับบีสักที
รูปนี้จึงเป็นรูปที่มีค่ามากในความคิดของเรา

Photobucket Photobucket

เนื่องจากอยู่ในช่วงไว้ทุกข์กัน
ทั้งงานเลยมีแต่คนใส่ชุดดำ - ขาวกันหมด


Photobucket

จำได้ว่าก่อนวันงาน เรานอนน้อยติดต่อกันมาหลายวัน

มัวแต่ทำอะไรไร้สาระ -_-' (แต่เป็นความรู้สึกที่ดีแม้จะไร้สาระ เฮ้อ !)
วันงานเราเลยโทรมมากมาย
Photobucket
สาบานกับตัวเองว่า ต่อไปจะไปงานรับปริญญาใคร
ชั้นจะต้องนอนล่วงหน้าสักอาทิตย์นึง !!!
เพราะเวลาไปสถานที่จริงมันจะร้อนตับแลบ แดดแรงมาก
สีผิดที่ดำอยู่แล้วมันจะเข้มขึ้นอีกสามสเต็ปเรย
แถมสิวขึ้นเพราะนอนน้อย ~>_<~
Photobucket
แดดแรงแค่ไหน สาวๆ TKC ก็สู้ตายค่ะ งานนี้
รูปแถมสำหรับงานนี้
เป็นคนละเรื่องเดียวกันค่ะ
เพราะเป็นวันที่น้องเมย์แห่ง JBT รับปริญญาเช่นกัน
เพิ่งรู้ว่าเมย์เรียนเอแบครุ่นเดียวกับบี
Photobucket
น้องเมย์เป็น JBT Crew รุ่นสองค่ะ
เวลาใครๆถาม วิธีเดียวที่จะอธิบายให้คนเข้าใจก็คืออธิบายว่า
น้องเมย์ก็เป็นเหมือนบี เหมือนพี่ฟ้าสำหรับคลับตี๋ไง
แต่ที่ JBT เค้าเรียก Staff ว่า JBT Crew มีสองรุ่นคือรุ่นแรก กับรุ่นสอง
ยังจำได้ดีถึงวินาทีที่ยื่นดอกไม้ให้น้องเมย์
น้องเมย์มีสีหน้ายินดีมากๆ
รู้ว่าเมย์ดีใจ เพราะในวันนั้นเราเป็น JBT คนเดียวที่ไป
หลังจากนั้นสองสามวัน แอบเข้าไปในไร่องุ่นสีม่วง
แอบเห็นน้องเมย์เอารูปมาโพสท์ พร้อมแสดงคำขอบคุณ
Photobucket
น้องเมย์ดีใจ เราก็มีความสุขไปด้วย
รักน้องเมย์มากมายเช่นกันนะจ๊ะ









To The one whom I don't know
ไม่รู้หรอกว่าคุณคือใคร แต่เห็นแอบเข้ามาอ่าน
เอ้า ! อยากอ่านก้ออ่านไป
ว่างๆแนะนำตัวมาหน่อย ว่าเป็นใครกัน
ถึงได้สนใจเรื่องของเรา แวะเข้ามาอ่านเรื่อยๆ
คิดๆก้อสนุกดีเนอะ เพราะคุยคนเดียวในบล็อกมาตั้งนาน
อยู่ๆมีใครไม่รู้โผล่มาแอบฟัง
손님여러분, 어서 오십시요 !
처음 뵙겠습니다.
만나서 반갑습니다.
와주셔서 감사합니다

Dear my stranger, welcome to my world !
Though it’s the first time to see, I’m glad to know you.
Thanks for coming, anyway.

Friday, January 18, 2008

Who are you ?

Getting into my place without permission.


Who are you ???

I don't care if someone wants to read it.

Just let me know.

Please !!!


ใครกัน

แอบเข้ามาเที่ยวบ้านเค้า

จะอ่านไม่ว่า ไม่โกรธ

ทุกสิ่งอัน เปิดเผยได้ ~ สำหรับคนรู้จัก

แต่ว่า.....บอกกล่าวกันก่อนเน้อออ


ได้โปรดดดดดดดดดดดดดด

Tuesday, January 15, 2008

My Nominee List




วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เค้าให้ส่งรายชื่อ nominee list ผู้ได้รับสิทธิตั๋วฟรี

อันที่จริงเค้าก็บอกมานานแล้วหละ ช่วงที่เฝ้าออฟฟิศอยู่สี่วัน
ก็ช่วยเพื่อนลงชื่อ nominee list ไปหลายคนเชียว
แต่เรื่องเกี่ยวกับตัวเอง มักจะผลัดวันประกันพรุ่งเสมอ
กว่าจะรู้ตัว มันก้อวันสุดท้ายที่เค้าให้ลงชื่อแล้ว

เอาละสิ

เพิ่งรู้ตัวว่า ไม่มีใครคบก็วันนี้เอง T_T

ที่แน่ๆ ก็มีพ่อแม่ตัวเอง

และอาป๊า อาหม่าม้าของหมาย้วย (ที่เรารักเค้าเหมือนญาติผู้ใหญ่)
มียาย อยากพายายขึ้นเครื่องบินสักครั้ง (ถ้ายายจะยอมเหาะไปกับหนู)

นอกนั้น

....

....

เออ เนอะ ไม่มีใครจริงๆ
เพื่อนในวงการ เค้าก็เป็นแอร์
ไม่มีใครสนใจกับตั๋วฟรีของเราหรอก (ก้อ...เค้าได้กันทุกคน)

เพื่อนคนอื่นๆ
ไม่มี

นี่เราไม่มีเพื่อนสนิทเลยจริงๆเหรอเนี่ย

เสียใจอ้ะ


ก่อนสี่ทุ่ม คีย์ชื่อได้ครบสิบชื่อ ดังต่อไปนี้
(อันนี้copy มาจากหน้าเว็บที่ใช้ขอ nominee เรย)


My Nominee List


STAFF INFO*
Name Nualprae N.(nualpraen@airasia.com)
Staff ID TAA. xxxx
Company, Section, Station TAA, TAA, FAD, BKK



Name - Handphone - Passport / IC Number - Relationship

1. Mr. S. N. 083997xxxx K618xxx / 311010153xxxx
Father
ป๊ะป๋า ได้ทั้งสิทธิตั๋วฟรี แต่ตั๋ว25% ยังไงก็ได้ตลอดอยู่แล้ว


2. Ms. P. N. 086345xxxx 310020113xxxx
Mother
คนนี้ก็ได้สิทธิเต็มพิกัด ทั้งตั๋วฟรี ตั๋ว 25% และสวัสดิการอื่นๆอีกมากมาย


3. Ms. Phuankwan N. 081349xxxx 110050013xxxx
Sister
น้องเพื่อน มนุษย์ที่มี DNA คล้ายเราที่สุดในโลก


4. Ms. Prapis J. 081349xxxx 310020113xxxx
Grandmother
คุณยาย ชีวิตนี้ แพรจะมีโอกาสพายายขึ้นเครื่องบิน เป็นผู้โดยสารของแพรมั๊ยนะ
คุณยายหายป่วยเร็วๆนะ หนูอยากพายายนั่งเครื่องบิน


5. Mr. Suvit C. 086314xxxx 310070003xxxx
Uncle
ป่าป๊าของหมาย้วย ให้เผื่อๆไว้ เผื่อท่านจะเดินทางไปไหน


6. Ms. Wimol M. 086314xxxx 310070003xxxx
Aunt
หม่าม้าของหมาย้วย ทำตั๋วเผื่อว่าหม่าม้าอยากไปไหนเช่นกัน ^_^


7. Mr. Prajak C. 086314xxxx 310070003xxxx
Friend
หมาย้วย ไม่ว่าจะยังไง คนนี้ต้องให้ตั๋วเค้าแน่นอน It's a must.

8. Mr. Wichaya S. 085158xxxx 110080047xxxx
Friend
เด็กยักษ์ คนนี้ตั้งใจจะให้ตั๋วอยู่แล้ว



9. Ms. Wanlada L. 086555xxxx 185040000xxxx
Friend
บีวี้ดดด สาวน้อยคนเก่ง เพื่อนคู่หูคนใหม่
ให้สิทธิตั๋วฟรีกับบี เพราะรักบีนะ
ไม่รู้บีจะรู้รึเปล่าเนอะ

10. Mr. Jaturan T. 081894xxxx 384990019xxxx
Friend
อิโอ๊ต เพื่อนสุด love จาก JBT

ที่จริงก็นึกถึงเจ๊แจมจอย และนายแม่(นก)
แต่คิดว่าสองคนนั้นมันคงไม่ได้ตื่นเต้นกับตั๋วฟรี
เจ๊แจมคงงานเยอะ ไม่ค่อยได้ไปไหน ส่วนนก มันเดินทางเป็นว่าเล่น ตั๋วฟรีแค่นี้ มันคงไม่สนใจ


ทั้งหมดนี้ ต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 5 วันก่อนเดินทางนะจ๊ะ


Sunday, January 13, 2008

ย้อนอดีต.....วันรับปริญญา

เมื่อวานไปงานรับปริญญาของ BeWisH มาค่ะ

รูปรับปริญญางานบี ขอแปะโป้งเอาไว้ก่อน เพราะยังไม่ได้ซีดีจากคุณนายพันช์
แต่ที่อยากเอารูปมาแปะบล็อกในวันนี้ เป็นรูปสมัยพระเจ้าเหา ในงานรับปริญญาของตัวเอง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันนานมาแล้ว หรือเป็นเพราะวันนั้นมันยุ่งๆ
เราเลยจำงานรับปริญญาของตัวเองไม่ได้มากเท่าไหร่
จำได้แต่ว่ามีช่างกล้องสามคน คือแม่ และลูกศิษย์วิชาถ่ายรูปของแม่อีกสองคนที่จ้างมาถ่ายรูปให้เรากับหมาย้วย

ด้วยความที่เราใช้กล้องและช่างภาพชุดเดียวกัน ถ่ายรูปออกมาเลยมีแต่รูปคู่เต็มไปหมด -_-'

รูปที่ถ่ายกับเพื่อนๆคนอื่นก้อพอมีบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ภาพที่อยู่ในความทรงจำซักเท่าไหร่

มาดูรูปเก่าๆกันดีกว่าเนอะ

รูปแรก
Photobucket
รูปรวมเด็กเอก Dramatic Arts ค่ะ
อักษรปีที่เราเข้าไปเรียน มีเด็กเข้าเอกละครแค่ 9 คน แต่จบมาแค่ 8 คน
เพราะหนึ่งในจำนวนนั้นซิ่วไปเข้าคณะวิศวะคอม ด้วยความที่เก่งจัด
(ไอ้หนุ่มมันเด็กเลขโอลิมปิก ให้มันไปเฮอะ)

ยินมาว่าปัจจุบัน เอกละครเป็นเอกที่คนเรียนกันเยอะ เพราะมีเด็กอยากเข้ามาเป็นส่วนเบื้องหลังเบื้องหน้าในวงการบันเทิงกัน
ดาราในวงการบันเทิงที่เป็นศิษย์อักษร ละครก็มีไม่น้อย
ไม่รู้ว่าตอนนี้ยอดเด็กเอกละครปาเข้าไปกี่คน แต่เคยได้ยินครูเล่าให้ฟังว่า มันเยอะไปกว่านี้ได้ไม่มากหรอก
เพราะอาจารย์ที่สอนมีไม่พอ บุคลากรทางการละครในเมืองไทยยังขาดแคลนอยู่ จริงเท็จประการใดก็ไม่ทราบนะคะ

ต่อๆๆ
เพื่อนสมัยเรียนเป็นเพื่อนที่....จะว่าสนิทก็สนิทกันค่ะ เพราะมันมีกันอยู่แค่นี้
เวลาเรียนก็ไปกันเป็นกลุ่มๆ ใครคิดจะโดดเรียนนี่ แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะครูจะรู้เลยว่าใครหายไปบ้าง
หมดคาบปั๊บ เพื่อนจะโทรมาเลยว่าครูให้ตาม ว่าแกหายไปไหน

เวลาเรียนก็ต้องทำงานละครด้วยกันตลอด กินนอนด้วยกันในโรงละครนั่นแหละ
เป็นชีวิตที่สนุกไปอีกแบบ เรียนบ่าย เลิกเรียนก้อทำละครถึงเย็นย่ำค่ำดึก แล้วแต่ว่าเลิกกี่โมง
เร็วหน่อยก้อสี่ห้าทุ่ม บางทีตีสองตีสามก็เคยมาแล้ว
ดังนั้น แทบจะไม่มีใครเห็นเด็กละครลงเรียนวิชาตอนเช้าๆ เพราะมันไม่มีปัญญาลุกมาเรียนกันหรอก

Photobucket

หลังจากเรียนจบทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำงาน ตามที่ตนเองถนัด
บางคนก็ยังเวียนว่ายอยู่ในวงการบันเทิงเบื้องหน้าบ้าง เบื้องหลังบ้างตามสะดวก
บางคนก็ไปเรียนต่อ แสวงหาตัวเองกันต่อไป บางคนก็ติสท์มาก หนีหายจากเมืองกรุงไปเลย
เพื่อนฝูงที่เคยสนิทกันก็เลยห่างๆกันไป
โดยเฉพาะงานที่เราทำ มันเป็นงานที่ไม่มีเวลาแน่นอน ก็เลยยิ่งทำให้ไม่มีโอกาสได้กลับมาใช้ชีวิตแบบนั้นกับเพื่อนๆอีก

แต่มันก็ยังเป็นอดีตที่สวยงามนะ นึกถึงทีไรก็อมยิ้มได้ทุกที

Photobucket Photobucket

Photobucket

สามรูปนี้เป็นรูปที่นัดมาถ่ายนอกรอบค่ะ
จำได้ว่าเป็นวันซ้อมรับปริญญา ทำผมแต่งหน้าเอง (มั๊ง) หลังจากที่ถ่ายรูปกับเพื่อนๆเสร็จตอนเช้า
ตอนบ่ายๆก็เดินข้ามถนนมาถ่ายรูปที่ฝั่งสทป.

Photobucket
เช้าของวันรับปริญญาค่ะ ยังสดใสอยู่ รูปนี้เป็นรูปที่เราชอบมาก
อารมณ์ว่าแอบกันอยู่หลังตึก แอบคุยกันหนุกๆ แล้วหันมาถ่ายรูป
ถ้าจำไม่ผิด รูปนี้แม่เป็นคนถ่ายให้

Photobucket

หลังจากที่รับพระราชทานปริญญาบัตรในตอนบ่าย เราก็มาถ่ายรูปกันต่อ
แสงจะเป็นแสงแดดอ่อนๆ กำลังสวย แต่หน้าโทรมแล้วค่ะ -_-'

Photobucket

รูปนี้เป็นรูปที่เราชอบมาก เพราะถ่ายที่พระบรมรูปสองรัชกาล
มีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับพระบรมรูปสองรัชกาลนี้ เพราะเราไปไหว้ท่านตั้งแต่วันสมัครเอ็นท์
ผ่านไปครั้งใด ก็ต้องยกมือขึ้นไหว้ ทำความเคารพทั้งสองพระองค์นี้
ไม่รู้เด็กจุฬาคนอื่นจะเป็นแบบนี้รึเปล่า

Photobucket Photobucket

สองรูปนี้แม่ถ่ายให้อีกแล้ว ถ่ายที่หอประชุมจุฬา ชอบมากอีกเช่นกัน

Photobucket

หมาย้วยเรียกรูปนี้ว่า "มนต์รักทรานซิสต้น"
เพราะตอนนั้นหนังเรื่องมนต์รักทรานซิสเตอร์กำลังดัง
แต่ตอนที่ถ่ายรูปนี้ ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อยู่นะ
นั่งพักกันอยู่แล้วเกิดนึกสนุก เลยถ่ายมาได้อีกรูปเท่านั้นเอง
รูปนี้เป็นภาพประทับใจของหมาย้วยค่ะ

Photobucket

Photobucket

หมดวันแล้วค่ะ
ไปนั่งรอรถกันตรงหน้าคณะวิศวะ ที่จริงเราก็มีความทรงจำอะไรๆที่คณะวิศวะอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน



อดีตที่สวยงามค่ะ
วันไหนทุกข์ใจ มีเรื่องไม่สบายใจขึ้นมา
ย้อนกลับไปดูภาพเก่าๆ
อย่างน้อย เราก็เคยมีคืนวันที่สวยงามแบบนี้ เก็บเอาไว้ในความทรงจำ

ไม่มีใครรู้อนาคตได้จริงๆ

Wednesday, January 09, 2008

9 days after 2008

ผ่านปีใหม่มาได้ 9 วันพอดี

เริ่มต้นปีใหม่อย่างสดใส (รึเปล่านะ)
นับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ด้วยประก๊าซคอนเสิร์ตตี๋เดี่ยว
(เล้งบอกให้เรียกว่า RED KINGKONG CONCERT ก้อโอเค ตามใจท่าน)
ก่อนวันปีใหม่ก็ไปบินไฟลท์จีนมา กลับมาก็มาเฝ้าบอร์ด ขึ้นประก๊าซ ทำโน่นนี่
หลังPRไปได้วันเดียว พอเริ่มเปิดจองบัตร ก็มีคนโอนเงินเข้ามาล้นหลาม ถล่มทลาย อัพเดทยอดกันเป็นวินาทีเลยทีเดียว งานนี้ staff ถ้ำอย่างเรารู้สึกเหมือนเล่นเกมส์ เห็นเค้าแข่งกันโอนมา คนอัพเดทยอดก็สนุกไปด้วย
ทำงานทั้งวัน เฝ้าหน้าคอม รับแฟกซ์ตลอดเวลา
เหนื่อยแต่สุขใจมากมาย

ผ่านปีใหม่มาได้สองวัน มีข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ แน่นอนว่าข่าวนี้เป็นข่าวที่ช็อคความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ แม้ว่าจะมีกระแสล่วงหน้ามาบ้างแล้ว คนไทย ยังไงก็รักและเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น ข่าวการสิ้นพระชนม์ของเชื้อพระวงศ์ชั้นใน จึงเป็นข่าวที่กระทบความรู้สึกคนไทยไม่น้อยเลย
ทางราชการประกาศให้ไว้ทุกข์ 15 วัน แต่คาดว่าคงมีคนใส่ชุดดำกันนานกว่านั้น ยังจำได้ดี ครั้งงานของสมเด็จย่า คราวนั้นใส่ชุดดำกันจนสิ้นปีเลยทีเดียว
ที่บริษัทก็สั่งให้พนักงานติดโบว์ดำเพื่อเป็นการไว้อาลัย (แหงหละ ชุดแดงซะขนาดนี้) วันไหนว่างๆ จะถ่ายรูปชุดแดงติดโบว์ดำมาลงไว้เป็นที่ระลึก
...