Wednesday, August 25, 2010

Why IELTS???

Why IELTS???

ก่อนจะเขียนเอ็นทรี่นี่ ต้องขอเกริ่นซะก่อนว่าที่ต้องตะเกียกตะกายสอบภาษาอังกฤษไว้ ก็เพราะไม่อยากบินอีกแล้ว ไม่ใช่เป็นแอร์ไม่ดีหรอกนะ แต่ก็รู้ตัวอยู่ลึกๆว่าเราเป็นแอร์ไปไม่ได้ตลอดชีวิต 7 ปีบนฟากฟ้า มันนานพอจะทำให้เรารู้สึกอิ่มตัวกับการเป็นลูกเรือ ทั้งการทำงานแบบ Full Service และการทำงานแบบ Budget Airlines ให้ประสบการณ์ที่ดีกับเราทั้งสองแบบ

แต่พระเจ้าไม่ได้สร้างให้คนเราเกิดมาเพื่อบินนี่นะ
พระองค์สร้างให้เราเกิดมาเพื่ออยู่บนพื้นโลกต่างหาก

ดังนั้นวิธีที่จะทำให้เราพ้นไปจากอาชีพบนฟ้านี่ได้ เราควรมีผลการสอบภาษาอังกฤษเอาไว้

การสอบ IELTS หรือ TOEFL มันดียังไง
อย่างน้อยการไปสมัครงานหรือเรียนต่อที่ไหน ถ้าเรามีผลการสอบภาษาอังกฤษจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ อย่างสองค่่ายนี้แล้ว มันก็ช่วยให้อีกฝ่ายพิจารณาเราง่ายขึ้น

เรายังเชื่ออยู่ว่าถ้าคิดจะทำงานในโลกปัจจุบัน ยังไงซะภาษาอังกฤษก็สำคัญที่สุด สำคัญไม่แพ้ภาษาพ่อภาษาแม่ของเราเองเลย
หากคิดจะเรียนภาษาที่สองหรือภาษาที่สามแล้วละก็ ควรเรียนภาษาบ้านเกิดตัวเองให้รอดซะก่อน

จะว่าเราหัวโบราณก็คงได้นะ แต่เห็นเด็กสมัยนี้ภาษาไทยอ่อนแอกันเหลือเกิน เด็กไทยสมัยนี้เกินครึ่งผันวรรณยุกต์กันได้พิกลพิการมาก ภาษาอังกฤษก็แสนจะกระพร่่องกระแพร่ง ไม่ต้องดอดไปเรียนภาษาจีน เกาหลี ญี่ปุ่น อารบิกที่ไหนหรอก เอาภาษาไทยที่ใช้กันทุกวันให้รอดซะก่อน

ว้า..บ่นมานาน เข้าเรื่องดีกว่า

IELTS ต่างจาก TOEFL ยังไง

เอาง่ายๆที่เห็นชัดๆเลย
IELTS สอบแบบเป็นกระดาษคำตอบ สัมภาษณ์กับผู้ทดสอบจริงๆ ไม่ต้องพูดกับคอมพิวเตอร์ ข้อเสียคือเสียเวลาต้องมานั่งรอเขาครึ่งค่อนวันเพื่อทดสอบแค่สิบนาที
TOEFL เดี๋ยวนี้เขาสอบกับคอมพิวเตอร์กันหมดแล้ว ผลสอบคร่าวๆจะรู้ได้ทันที ยกเว้นผลสอบ writingซึ่งต้องรอสองสามอาทิตย์เห็นจะได้ ถ้าใครไม่ทันเทคโนโลยีต้องบินไปสอบ Paper base ที่พม่า
IELTS ใช้สมัครเข้ามหาวิทยาลัยแถวๆออสเตรเลียและอังกฤษ (หรือประเทศเครือจักรภพทั้งหลาย)
TOEFL ใช้สมัครเข้ามหาวิทยาลัยแถบอเมริกา
ถ้าคิดจะใช้สมัครงานหรือเรียนต่อในเมืองไทย เลือกสอบเอาสักอย่างก็ได้ค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเงินหลายรอบ
อ้อ ! ถ้าจะใช้ผลสอบเพื่อสมัครเรียนต่อ ต้องสอบIELTS แบบ Academic เท่านั้นนะคะ

เราเองเคยลองสอบ TOEFL มาแล้ว ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กน้อยเรียน High School อยู่แถวๆบ้านนอก(ของอเมริกา) สมัยนั้น แม้แต่ที่อเมริกายังใช้ข้อสอบเป็น Paper อยู่เลยค่ะ
คราวนี้พอจะเรียนต่อ เลยเลือกสอบ IELTSค่ะ ลองสอบดูเพราะอยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรบ้าง
อีกเหตุผลที่สำคัญก็คือเราชอบทำข้อสอบแบบใช้กระดาษกับดินสอมากกว่าค่ะ
ไม่รู้สินะ เราว่าการได้กลิ่นไส้ดินสอกับกระดาษ มันช่างเป็นความรู้สึกที่คลาสสิกเกินคำบรรยาย
หากต้องสอบพูด ก็ขอให้ได้พูดกับคนจริงๆ เพราะเราไม่ชอบพูดคนเดียวอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์

ฟังดูเป็นเหตุผลที่งี่เง่าจังนะ
แต่เราเลือกสอบ IELTS เพราะเหตุผลนี่แหละ

เอ็นทรี่หน้าจะมาว่ากันต่อเรื่องรายละเอียดการสอบค่ะ ^^"

Sunday, August 22, 2010

..Seoul in my Soul..

ในที่สุดก็ถึงเวลา....

Sunday, August 15, 2010

..เรื่องของที่พัก..

อืม..ช่วงนี้ชีวิตยุ่งๆ
คงเป็นเพราะใกล้วันเดินทางแล้ว อะไรๆก็ยังไม่เสร็จสักอย่าง
กระเป๋า ยังไม่ได้เตรียม ตั๋วก็ยังไม่ได้ไปออก
เรื่องเรียนหนังสือหนังหาก็ยังมึนๆ
นี่ยังมีตำรับตำราอีกเยอะแยะที่ต้องเตรียม ยังไม่มีเวลาเลย

หลังจากที่ต้องแคนเซิลหอพักของมหาวิทยาลัยไปเพราะเปลี่ยนแผน
จากเดิมตั้งใจว่าจะเข้าไปเรียนป.โทเลย
ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าขอไปเรียนภาษาก่อน เพื่อจะได้ดำรงชีวิตในโซลได้สะดวกขึ้น
ทั้งๆที่เคยไปอยู่มาแล้วตั้งสามปี แต่ก็ยังรู้สึกว่าต้องไปเจอกับความลำบากอีกเยอะ

และเพราะไม่ได้เข้าเรีัยนป.โท ก็เลยไม่ได้อยู่หอของมหาวิทยาลัย
จะย้ายไปอยู่หอของอีกมหาวิทยาลัยนึงที่เราเข้าเรียนภาษาก็ไม่ได้อีก
เพราะกว่าจะตัดสินใจอะไรพวกนี้ มันก็เลยเวลามาเยอะแล้ว
พอติดต่อเข้าไปก็ปรากฏว่าหอเต็ม ทีนี้เลยต้องหาที่อยู่ใหม่
เท่าที่ดูไว้ คงต้องไปพักหอพักนักศึกษาข้างนอกหรือที่คนเกาหลีเค้าเรียกว่า "โคชิวอน"
หาดูได้มากมายจากเว็บพวกนี้ Gosiwon และ Gosiwon All

ภาษาเกาหลีไม่แข็งแรงอย่างเราก็มึนๆไปบ้าง
ทั้งๆที่ทำใจไว้แล้วว่าต่อไปนี้จะฟัง พูด อ่าน เขียน หรือคิดอะไรต้องเป็นภาษาเกาหลีเท่านั้น
เพราะเราจะไปอยู่ในประเทศที่เค้าไม่พูดภาษาอังกฤษ
แต่เราก็ยังทำใจลำบากอยู่ดี ^^"

เอาน่า...ชีวิตมันก็ต้องมีทางไปของมัน
เราเชื่ออย่างนั้น

-----

ในช่วงเวลาที่ลำบากอย่างนี้ คิดถึงคุณ Idolของเราคนเดียว
อยากโทรไปหา แต่ก็...ไม่ดีกว่า
ถ้าการเคาะประตู มันจะทำให้คุณรู้สึกเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง
ก็จะยังไม่เคาะประตูบานนั้น หากไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ
ขนาดอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน ยังคิดถึงคุณเลยค่ะ

Tuesday, August 10, 2010

Last flight as a crew..Thank YOU !!!

วันนี้เป็นวันที่ทำงานในฐานะลูกเรือเป็นวันสุดท้าย และคาดว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ลากกระเป๋าไปบินในฐานะลูกเรือ เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หันหลังกลับมาเดินเส้นทางนี้อีกแน่นอน

ใจหายมากมาย เพราะจริงๆแล้ว อาชีพลูกเรือหรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเป็นอาชีพที่เรารัก บินมาเจ็ดปีกว่า ได้ผ่านวันเวลาที่ทั้งทุกข์ทั้งสุขแถมยังสนุกในบางเวลา

ยังจำได้ดีถึงวันแรกที่เดินเข้าไปสัมภาษณ์งานที่เอเชียน่า กรรมการไม่ได้ถามว่าทำไมถึงอยากเป็นแอร์ แต่กรรมการถามว่า ทำไมถึงคิดว่าตัวเอง "เหมาะ"ที่จะเป็นแอร์
จำไม่ได้แล้วว่าวันนั้นตอบว่าอะไร แต่ในวันนี้ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าถึงเราอาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอาชีพนี้ แต่เราก็มั่นใจว่าเรารักอาชีพนี้ที่สุด

เจ็ดปีกว่า..ที่ได้จากการเป็นลูกเรือ ได้สัมผัสชีวิตการเป็นลูกเรือทั้งแบบ Full-serviceและแบบ Budget airlines

การทำงานที่เอเชียน่าสอนให้เรารู้จักโลกกว้าง รู้จักภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ในแต่ละวันเราได้ไปพบเจอ ได้ไปรู้เห็นวิถีชีวิตของคนที่อยู่อีกฝั่งนึงของโลกกลมๆใบนี้ ได้กินอาหารที่ไม่คุ้นปาก ได้เจรจาด้วยภาษาที่ไม่คุ้นลิ้น ได้รู้จักเปิดใจเรียนรู้โลกเพื่อที่จะเรียนรู้ความแตกต่างโดยที่ไม่จำเป็นต้องแตกแยก
เอเชียน่าสอนให้ซึ้งใจกับคำว่า "ระบบอาวุโส"ซึ่งมีทั้งข้อดีที่โดนใจและข้อดีน้อยกว่าที่ไม่โดนใจใครอีกหลายๆคน ได้เข้าใจคำว่า "รุ่นพี่"และ"รุ่นน้อง" ซึ่งเรามองว่าเป็นสิ่งจำเป็นมากพอสมควรกับการทำงานในอาชีพนี้ การเข้าใจและซึ้งใจในระบบอาวุโสสอนให้เรากลายเป็นคนนอบน้อม และไม่มีอีโก้ เราสามารถยกมือไหว้และร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่อายุน้อยกว่าได้ หากเขาคือผู้ที่อาวุโสกว่าในหน้าที่การงาน และระบบอาวุโสนี้จะช่วยกล่อมเกลาให้เรารู้จักหยุดคิด และพิจารณาตัวเองโดยปราศจากความมีอัตตา ยิ่งไปกว่านั้นระบบอาวุโสสอนให้เราเรียนรู้คำว่า "เสียสละ"และพร้อมจะเหนื่อยมากขึ้น เพื่อสอนให้รุ่นน้องเราได้เข้าใจ ได้เรียนรู้ และได้รักในอาชีพนี้อย่างที่เรารัก

เมื่อย้ายมาทำงานที่แอร์เอเชีย ด้วยระบบการทำงานที่แตกต่าง อาจจะทำให้ช่วงปีแรกเราเดินช้ากว่าคนอื่นๆไปบ้าง แต่เมื่อปรับตัวได้แล้ว แอร์เอเชียก็สอนอะไรๆในชีวิตเราไม่ต่างจากที่เคยได้เรียนรู้จากที่เอเชียน่า หากจะบอกว่าเอเชียน่าสอนให้เรารู้จักโลกกว้างแล้ว ที่แอร์ เอเชีย สอนให้เราเรียนรู้และเข้าใจ "ความเป็นมนุษย์" เมื่อทรัพยากรมีจำกัดตามแบบฉบับของการทำงานแบบ Budget แต่ความต้องการของคนมีไม่จำกัด สิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานบนไฟลท์คือทำอย่างไรให้ผู้โดยสารพึงพอใจและมีความสุขกับทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดนี้ จะว่ายากก็ยาก แต่ก็ท้าทายและสนุกกับมันทุกครั้งที่ได้เริ่มต้นทำงานบนไฟลท์

แอร์เอเชียสอนให้เรากล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้ามีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ เพราะด้วยความที่ทรัพยากรของเรามีจำกัด จำนวนลูกเรือบนไฟลท์ก็มีจำกัด ทำให้เราต้องเรียนรู้หาวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ รู้สึกได้ด้วยตัวเองว่าเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ หลังจากที่ได้มาทำงานที่นี่

ยิ่งไปกว่านั้นแอร์เอเชียให้สังคมการทำงานที่ดีกับเรา เมื่อครั้งทำงานที่เอเชียน่านั้น เรามีสังคมแคบๆ สนิทกับลูกเรือไทยแค่ไม่กี่คนเพราะด้วยความที่บริษัทใหญ่ มีลูกเรือหลักพัน มีไฟลท์ไกลใกล้หลากหลาย ทำให้การที่จะบินมาเจอกันช่างยากเย็นซะเหลือเกิน เราจึงไม่สนิทกับลูกเรือเกาหลีหรือลูกเรือชาติอื่นๆมากนัก แต่พอย้ายมาทำงานที่แอร์เอเชีย ด้วยความที่บริษัทไม่ใหญ่มาก ทำให้ลูกเรือ นักบิน และพนักงานภาคพื้นคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี สังคมในการทำงานที่แอร์เอเชียจึงเป็นสังคมแคบๆที่เปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ ไปบินไฟลท์ไหนๆก็เจอแต่ เพื่อน พี่ น้อง พูดคุยเฮฮากันได้สนุกสนาน แม้จะมีวันที่เหนื่อย ท้อ หรือกำลังใจลดลงไปบ้าง แต่พูดได้เต็มปากว่าตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้ไปบิน และก็มีเพื่อนร่วมงานด้วยกันเองนี่แหละที่คอยเป็นกำลังใจให้กันในวันที่ยากลำบาก

อาชีพนี้สอนให้รู้จักเป็นผู้ให้โดยไม่จำเป็นต้องหวังผลตอบแทน หากเค้าคือผู้โดยสารของเรา เรามีหน้าที่อำนวยความสะดวกและดูแลให้เค้าเดินทางอย่างปลอดภัยไปจนถึงจุดหมาย เราได้เรียนรู้ที่จะมีความสุขโดยการให้ และจะชื่นใจที่สุดหากได้รับการตอบสนองที่ดีจากผู้โดยสารของเรา ด้วยหลักการง่ายๆ ทุกคนชอบที่จะเป็นผู้รับ ทำให้เรามีกฎเป็นของตัวเองว่า "ให้สิ่งที่เค้าอยากได้" และถ้าหากให้ไม่ได้ ก็จงหาสิ่งอื่นทดแทน อย่างน้อยถึงเค้าจะไม่ได้ในสิ่งที่เค้าต้องการ แต่เราก็เชื่อว่าหากเราพยายามจากใจจริง เค้าก็จะมองเห็นความพยายามที่เราตั้งใจทำให้เค้า

กว่าเจ็ดปีที่ใช้ชีวิตบนท้องฟ้า กินนอนไม่เป็นเวลา ได้พบเจอผู้คนที่แตกต่างทั้งรูปร่างหน้าตา ภาษา และผิวพรรณ เราได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจในสิ่งที่แต่ละคนเป็น และไม่ตัดสินใครจากการการทำ แต่จะมองย้อนไปถึงสาเหตุที่ทำให้เขาทำสิ่งนั้นลงไป เราใจกว้างขึ้น เรียนรู้ที่จะรักคนอื่นได้มากขึ้นและที่สำคัญ เราได้เรียนรู้ที่จะรักตัวเองได้มากขึ้นด้วย

จากนี้ไปแม้ไม่ได้ลากกระเป๋าไปบินในฐานะลูกเรืออีกต่อไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่มองบนท้องฟ้า ทุกครั้งที่มองเห็นเครื่องบิน เราจะจำความรู้สึกในวันนี้เอาไว้

ครั้งหนึ่งเราเคยได้เป็นส่วนหนึ่งบนนั้น

ลาก่อนเครื่องบินที่รัก
ลาก่อนฟากฟ้าอันเป็นที่รัก

---
Thank YOU..My Idol..
ขอบคุณไอดอลของเราคนเดียว ที่ช่วยให้วันนี้เป็นวันที่น่าประทับใจที่สุดค่ะ
ถึงคุณจะไม่ได้มาอ่านตรงนี้ แต่หนูก็รู้สึกขอบคุณและซึ้งใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำให้
ไม่ว่าคุณจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ขอบคุณที่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น
ขอบคุณที่ทำให้หนูได้รู้ว่า บางทีการมีตัวตนของใครบางคน
ก็ช่วยให้วันที่ยากลำบากผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
โดยที่เค้าไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
แค่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น..
นี่แหละค่ะ ที่เรียกว่าเป็น Idol
---