Sunday, March 14, 2010

..จงกิลดง..

จากที่จั่วหัวเรื่องเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเที่ยงวันนี้ วันนี้กลับมาเลยรีบมาปั่นเรื่องของฮงกิลดง เพราะยังมีอีกหลายเอ็นทรี่ที่ต้องอัพให้เสร็จก่อนเสาร์นี้

เริ่มจากการเดินทางก่อนนะคะ
(ปล. ขอแก้ไขรูปก่อนนะคะ มันมีรูปที่ต้องเซ็นเซอร์เยอะเชียว)
เราต้องไปลงรถไฟที่สถานี Olympic Park ไม่ไกลมาก ก็แค่นั่งรถจากโรงแรมที่เราอยู่แค่ชั่วโมงเดียวเอง ฮือๆๆ
ออกมาที่ทางออกสาม


เดินออกมาจะเห็นป้ายเด่นเป็นสง่าเลยค่ะ เราก็เดินตามลูกศรไปเรื่อยๆ ระยะทางที่เขาบอกเป็นเมตรค่อนข้างแม่นยำ

ในที่สุดเราก็มาถึงจนได้ โรงละคร อูรีเธียร์เตอร์
บรรยากาศภายในโรงละครค่ะ

ส่วนนี่คือแบนเนอร์หน้างาน

จนเสร็จธุระถึงเพิ่งมาเจอว่าถ้าจะไปโรงละคร แทนที่จะเดินไปตามลูกศรที่เขาชี้ เราออกจากสถานีแล้วเลี้ยงซ้าย เดินย้อนไปข้างหลังทางออกที่สามจะเห็นลานกว้างๆ ให้เดินไปจนสุดลาน

จะเห็นประติมากรรมที่ระลึกงานโอลิมปิคปี 1988 เดินเลยไปทางขวาอีกนิดก็เห็นโรงละครแล้วค่ะ

จากประติมากรรมที่ว่า ถ้าเดินไปทางซ้ายจะเห็นสเตเดียมที่เขาใช้จัดคอนเสิร์ต วันที่เราไปก็มีศิลปินซ้อมคอนกันอยู่ ได้ยินเสียงแว่วออกมาเลย แล้วพอได้ยินเสียงศิลปิน เราแทบจะยกเลิกแพลนดูฮงกิลดง เพราะศิลปินที่ซ้อมอยู่ข้างในไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพี่หมีคิมแทอูสุดที่เลิฟของเราเอง

แต่ในที่สุดก็ตัดใจเดินไปดูฮงกิลดงจนได้

ฮือ...
ลืมเล่าไปค่ะ เราเดินทางไปโรงละครที่ว่านี่สองครั้ง เพราะเราเวลาอยู่ที่เกาหลีน้อย เราเลยตั้งใจว่ายังไงต้องจองบัตรให้ได้สักรอบ ไม่รอบซองมินก็ต้องรอบเยซอง (ช่วงที่ไปมีซองมินสองรอบและเยซองรอบนึง) ทีนี้ด้วยความที่กลัวว่าบัตรจะเต็ม กลัวไม่มีที่ดู ไปถึงเกาหลีวันแรกเราเลยไปโรงละครก่อนเลย

กว่าจะหาทางไปโรงละครเจอ ถามคนแถวนั้นก็ดันบอกกันไปคนละทาง พอไปถึงละครซองมินรอบบ่ายเลยเล่นไปเยอะแล้ว ทางคนขายตั๋วเขาเลยบอกว่าให้รอดูรอบหน้า ขยับนาฬิกาดูแล้วปรากฏว่าต้องรออีกสองชั่วโมงกว่า ด้วยความรักสบายเราเลยไม่รอ ไปเที่ยวที่อื่นก่อนดีกว่า เวลามีน้อย (แอบเสียดายซองมิน เพราะตอนนั้นมีถ่ายทอดวีดีโอและเสียงออกมา เสียงมินเพราะมาก) ทางทีมงานเขาเห็นเรามาไกล แถมยังไม่ได้ดู เขาคงสงสารเลยให้โปสเตอร์โปรโมทละครมา เป็นโปสเตอร์รูปเต็มตัวของซองมิน และเยซองอย่างละใบ ตามปรกติเขาไม่ได้แจกโปสเตอร์นี้กันผู้ชมทุกคนนะคะ เขาให้แต่press (เขาบอกว่างั้นนะ) เราเลยดีใจมากๆที่ได้มาครอบครอง เอาน่า...อย่างน้อยก็ไม่เสียเที่ยว อุตส่าห์นั่งรถมาไกล

วันที่ 2 เราเลยวางแผนกันอย่างดี ตั้งใจจะไปดูละครให้ได้ ผลปรากฏว่าคำนวณเวลาเดินทางผิด เลยไปช้าประมาณ20นาที เสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร บนความโชคร้ายยังมีความโชคดีคือเราเข้าโรงละครช้า เขาเลยไม่ให้เราไปนั่งข้างหน้าที่เราจองบัตรไว้ (เราจองไว้แถวที่สามจากข้างหน้า) แต่ให้เรานั่งโซนหลังๆของโรงละคร แต่ดันเป็นโซน VIP เห็นบรรยากาศละครทั้งเรื่อง แถมยังเห็นศิลปินชัดมาก เพราะโรงละครไม่ใหญ่เลย หลังจากช่วง Intermission ถึงได้ย้ายกลับไปนั่งที่ที่เราจองบัตรเอาไว้ คราวนี้ใกล้มาก ซูมผู้ชายเห็นซี่ฟันเลยทีเดียว

เรื่องของฮงกิลดงขอไม่รีวิวนะคะ เพราะยังมีแฟนคลับบางส่วนที่ยังไม่ได้ดู ไม่อยากสปอยล์เรื่อง อีกอย่างเราว่าภาษาเกาหลีของเราเองก็ไม่ได้เก่งมากขนาดจะดูละครได้สนุกด้วย เอาเป็ว่าเยซองที่อยู่บนเวทีวันนั้นน่ารักมากๆ ขนาดตัวเราเองไม่ได้เมนเยซอง พอได้ดูละครแล้วยังอดอมยิ้มในความน่ารักของเยซองไม่ได้ โดยเฉพาะฉากที่พระเอกจีบสาว ออกมากี่ฉากๆก็อมยิ้มค่ะ น่ารักจริงๆ

เสียงเยซองเพราะมาก อันนี้หลายๆคนคงรู้กันอยู่แล้ว แต่เสียงเยซองในละครวันนั้นไพเราะ ก้องกังวานอย่างที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย คงเป็นเพราะเพลงแบบที่เยซองร้องตอนเป็นซุปเปอร์ จูเนียร์เป็นเพลงแบบที่จำกัดความสามารถของเขาไว้ในระดับหนึ่ง ในขณะที่พออยู่ในละครเวที เพลงจะเป็นอีกแนวที่ให้เขาสามารถปล่อยพลังเสียงได้เต็มที่ เยซองร้องขึ้นมาเมื่อไหร่ขนลุกเมื่อนั้น ส่วนในเรื่องของการแสดงเยซองก็แสดงได้ดี เห็นแล้วเชื่อว่าผู้ชายคนนี้แหละเป็นฮงกิลดง แม้ในเรื่องฮงกิลดงเวอร์ชั่นละครเวทีจะเน้นด้านความรักมากกว่าด้านอื่นๆก็ตาม

ทีมงานำงานมืออาชีพมากๆ ที่เห็นชัดๆเลยคือทีมแสง ละครเรื่องนี้จัดแสงได้ละมุนมาก เข้ากับบรรยากาศในทุกๆฉากของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฉากรักหวานซึ้ง ฉากสู้รบกันดุเดือด หรือแม้แต่ฉากที่เศร้าที่สุดของเรื่อง องค์ประกอบแสงก็ช่วยนำบรรยากาศให้คนดูคล้อยตามได้เป็นอย่างดี โปรดักชั่นดีไซน์ ทั้งคอสตูมและการออกแบบฉากทำได้กลมกลืน แม้จะดูค้นคว้าข้อมูล ทำรีเสิร์ชกันน้อยไปหน่อย แต่ก็ให้อภัยเพราะองค์ประกอบโดยรวมมันเข้ากัน

ทีมนักแสดงเป็นมืออาชีพทุกคน ตัวละครหลักร้องเพลงและแอ็คติ้งได้อย่างเป็นมืออาชีพ มองออกเลยว่านักแสดงทุกคนมีประสบการณ์ด้านละครเวทีมาไม่น้อย นางเอกเสียงหวานเหมือนใบหน้า ความสามารถล้นเหลือขนาดที่ร้องเพลงคู่กับเยซองแล้วทำให้เพลงยิ่งไพเราะ มีพลัง เป็นคู่นักแสดงที่เข้ากันได้อย่างลงตัว แม้เราจะรู้มาก่อนว่ามีเวลาซ้อมกันน้อยก็ตาม

แม้ตอนจบของละครจะเศร้าไปนิดแต่เราก็อดอมยิ้มไม่ได้กับฉากเคอร์เท่น คอลทีเยซองจัดให้แฟนคลับของเขา รอบที่เราไปดู สามแถวหน้าเป็นแฟนคลับเยซองทั้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นเอลฟ์เกาหลี และแฟนคลับชาวญี่ปุ่น เท่าที่เห็นวันนั้นรอบที่เราไปดูไม่มีคนไทยเลย

แอบถ่ายคลิปตอนจบของละครมาได้ แต่ยังไม่กล้าโพสท์ลงในยูทูป รอให้ละครลาโรงไปก่อนแล้วจะโพสท์ให้แฟนๆชาวต่างชาติ
ได้ชมความสามารถของเยซอง ส่วนไฟล์เคอร์เท่น คอลที่เรียกนักแสดงออกมาทังหมด เราอัพขึ้นยูทูปแล้ว ใครอยากดูลองไปหาดูได้ค่ะ แอบเก็บไฟล์เสียงเอ็มพีสามมาได้เกือบทั้งเรื่อง แม้เสียงจะไม่ชัดเพราะซ่อนเครื่องอัดไว้ในกระเป๋า แต่ก็พอได้ยิน ใครอยากได้ไฟล์เอ็มพีสามขอมาได้ ถ้าว่างจะรีบส่งให้ทันที ของดีมีไว้แชร์ ดูคลิปฟังเพลงแล้วอย่าลืมสนับสนุนศิลปินคุณภาพนะคะ

หลังละครจบ คุณแม่ของเยซองพาแฟนคลับบางส่วนเข้าไปหลังโรงละคร แต่เราไม่ได้เข้าไปเพราะมัวแต่คุยกับเอลฟ์เกาหลีอยู่ อีกอย่างก็เกรงใจเขามากๆ เล่นละครเหนื่อยแล้วยังต้องมาเจอแฟนคลับอีก ในบรรดาคนที่คุณแม่ชวนเข้าไป เห็นมีคนเข้าไปจริงๆแค่สามสี่คนเองค่ะ นอกนั้นเขาคงคิดเหมือนเราคือเกรงใจคุณแม่และเกรงใจศิลปิน รักเขาชอบเขาก็ตามแต่พอดี อย่าไปสร้างความลำบากใจให้เขาหรือไปสร้างความรำคาญให้เขา

ระหว่างเดินกลับมาขึ้นรถไฟ เสียงร้องของจงกิลดงยังคงก้องอยู่ในหู นี่เองที่เขาเรียกกันว่าเส้นเสียงของซุปเปอร์ จูเนียร์ กลับมาดูคลิปที่ถ่ายไปวันนั้น อมยิ้มไปกับความร่าเริงน่ารักของจงกิลดง ปฏิเสธไม่ได้ว่าแอบปลื้มจงกิลดงไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ

ความน่ารักของร้านเมล็ดข้าว

แฟนคลับเอสเจคงไม่มีใครไม่รู้จักร้าน 밥톨’s

และแน่นอนว่าเมื่อเราไปเยือนถึงถิ่นแล้ว นอกจากKiss The Radioแล้ว ก็มีร้านบับทลส์นี่แหละที่เราต้องเป็นเยือนเพราะถือเป็นหนึ่งใน SM Tourist Attraction

วิธีไปร้านบับทลส์ง่ายกว่าที่มองในแผนที่ นั่งรถไปลงที่สถานีฮงเดะ หรือ Hongik U. Station แล้วเดินขึ้นทางออกสาม พยายามอย่าเข้าซอยเพราะคุณจะหลง เดินไปตามถนนหลักหาสามแยกที่เป็นมหาวิทยาลัยให้เจอ จากสามแยกที่ว่า หันหน้าเข้าไปทางมหาวิทยาลัย เดินไปทางซ้าย ไม่นานจะเจอร้านตั้งเด่นเป็นสง่ารอรับผู้มาเยือน

밥톨’s แปลว่าเมล็ดข้าวหรือ Rice grain เป็นร้านเล็กๆ ขนาดแค่ห้องเดียว มีพนักงานอยู่ประมาณ4-5คน เป็นพ่อครัวสองคน เป็นเด็กเสิร์ฟสองคน อีกคนถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นป้าแม่บ้าน คุณพ่อของเยซองเป็นคนคิดเงิน ส่วนคุณแม่คอยดูแลความเรียบร้อยทั่วไปภายในร้าน เมื่อเดินเข้าไปในร้านจะเจอคุณพ่อยืนยิ้มต้อนรับเป็นเถ้าแก่อยู่ตรงเคาท์เตอร์ ถ้าเคยเห็นรุปที่แฟนคลับถ่ายมาลงตามเว็บ จะสังเกตได้ว่าคุณพ่อมักจะถือไม้กวาดเป็นพร็อพประจำตัวเสมอ ว่างๆแกคงเดินกวาดร้านไปเรื่อยแวะไปสองสามครั้งก็เห็นคุณพ่อถือพร็อพอยู่ทุกที ส่วนคุณแม่ก็ดูใจดีน่ารักตามแบบเถ้าแก่เนี้ยทั่วไป เวลาร้านยุ่งๆคุณเถ้าแก่เนี้ยมักจะคอยล้างถ้วยชามอยู่ในครัว (เวลาทานอาหารพยายามทานให้หมดนะคะ เกรงใจคนล้าง) บรรยากาศในร้านก็ดูอบอุ่นเป็นกันเองดีค่ะ รอบๆร้านเป็นรูปเถ้าแก่น้อยและข้อความจากแฟนคลับติดเต็มไปหมด เดาเอาเองว่าคนออกแบบตกแต่งร้านน่าจะเป็นเถ้าแก่น้อย เพราะรูปที่ตกแต่งร้านเป็นรูปสไตล์ที่เขาชอบทั้งนั้น

ปรกติแล้วถ้าลูกค้าเข้ามาทานอาหาร คนเสิร์ฟมักจะเป็นเด็กเสิร์ฟที่เป็นพนักงาน แต่ถ้าคนไหนท่าทางมึนๆ ดูเหมือนเป็นแฟนคลับเข้ามา คุณพ่อคุณแม่ถึงจะลงมือเสิร์ฟเอง วิธีสั่งอาหารในร้านเขาจะให้เราชี้รูปตามเมนูแล้วชำระเงินเลย ส่วนเครื่องเคียงพวกผักดองและกิมจิจะมีเคาท์เตอร์แยกให้เราตักทานตามสบาย ตักมาแล้วทานให้หมด อย่าเหลือทิ้งนะคะ ตู้น้ำมีสองตู้ เป็นตู้น้ำเปล่าและตู้น้ำอัดลม ถ้าต้องการทานน้ำอัดลมสั่งเพิ่มได้ราคาแก้วละ 500 วอน ไม่มีรีฟิลนะคะ อยากเติมต้องจ่ายเงินเพิ่ม ราคาอาหารก็ประมาณ 4,000-7,000วอน นับว่าเป็นราคาสมเหตุสมผลตามค่าครองชีพชาวเกาหลี

ร้านอาหารกิจการค่อนข้างดีทีเดียวค่ะ ลูกค้าแวะเวียนไปทานอาหารเยอะ เท่าที่สังเกตลูกค้าในร้านเป็นลูกค้าจริงๆ ไม่ใช่แฟนคลับ ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวนักศึกษาจากฮงเดะและมหาวิทยาลัยใกล้เคียง มีบางส่วนเป็นคนวัยทำงาน ดังนั้นเราจึงไม่ได้ถ่ายรูปที่ร้านมาเพราะเกรงใจลูกค้าคนอื่นๆในร้าน รูปคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้ถ่ายมาเพราะเกรงใจมากเหลือเกิน เลยได้แต่ถ่ายรูปอาหารแสนอร่อยมาฝาก
อาหารร้านบับทลส์เป็นอาหารสไตล์ลูกครึ่งค่ะ จะเป็นอาหารเกาหลีก็ไม่ใช่ เป็นอาหารฝรั่งก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าเท่าที่ลองสั่งมาหกเมนู อร่อยทุกอย่าง แม้บางอย่างจะเลี่ยนไปนิดเพราะใส่ชีสเยอะ แต่ถ้าทานกับผักดองหรือกิมจิก็ไม่เลี่ยนเท่าไหร่ กลมกล่อมกำลังดี อาหารหน้าตาสะอาด จานใหญ่มาก กินจานเดียวอิ่มไปถึงกลางคืน ไว้จะหาเวลารีวิวอาหารร้านนี้อีกที

ที่จะเล่าวันนี้คือความน่ารักของคุณเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างหาก

วันแรกที่ไป เราเดินเข้าไปในร้าน ท่าทางเราคงงกๆเงิ่นๆ คุณพ่อชี้ให้เรานั่งมุมร้าน คุณแม่เอาเมนูมาให้ดูแล้วก็บอกว่าร้านนี้ให้จ่ายเงินก่อนแล้วแล้วค่อยเสิร์ฟนะ เราก็โอเค เข้าใจ พอสั่งอาหารมาเสร็จเราก็ถ่ายรูปพร้อมจดบันทึกไปพลางๆ รีบทานแล้วก็ออกจากร้านมา เพราะเป็นช่วงเที่ยงๆ ร้านกำลังยุ่งสุดขีด ก่อนกลับคุณแม่ก็เดินมาลาเรา แล้วก็ยิ้มกันไปมาไม่ได้พูดอะไร เราเองก็ตื่นเต้น คุณแม่ก็คงพูดไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าเราพอจะคุยภาษาเกาหลีได้บ้าง ก่อนกลับเราได้ฝากกล่องทเวลพลัสกิฟท์เซ็ทที่มีครบ 12 ขวดให้คุณแม่ แล้วชี้ให้เขาดูว่ามีรูปเอสเจครบเลยนะ คุณแม่ก็ยิ้มแล้วไม่ได้ว่าอะไร

วันที่สอง เราไปเวลาประมาณบ่ายสอง เพราะไปเที่ยวที่อื่นมาก่อน เข้าไปในร้านไม่มีลูกค้าคนไหนนั่งอยู่เลย เราเลยเจอคุณพ่อนั่งเป็นเถ้าแก่อยู่ในร้าน คุณพ่อเดินมาชวนคุย พอเห็นเราตอบได้แกเลยดีใจ ถามว่ามาจากไหนกัน แล้วก็บอกว่าวันนี้แม่ไม่อยู่นะ อยู่แต่พ่อ สักพักก็มีแฟนคลับคนญี่ปุ่นมา แกเลยขอตัวไปต้อนรับคนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นแวะเวียนมาเรื่อยๆ เข้าใจว่าคงมีวันหยุดเทศกาลอะไรกันสักอย่าง แล้วคนญี่ปุ่นทั้งหลายก็ถ่ายรูปร้าน ถ่ายรูปคุณพ่อ เรายังแอบนึกในใจว่าเป็นรอบแฟนมีตหรือเปล่าคะเนี่ย ได้ยินคุณพ่อถามคนญี่ปุ่นว่าวันนี้ไปดูฮงกิลดงหรือเปล่า คนญี่ปุ่นเขาก็บอกว่าจะไปดูกัน เราเองก็จะไปดูฮงกิลดงรอบนั้นพอดี พอคุณพ่อถาม เลยเลยตอบไปว่าเดี๋ยวไปตอนเย็นๆค่ะ คุณพ่อเลยบอกว่าเดี๋ยวเย็นนี้แม่เยซองก็ไปนะ ถ้าไปอาจจะได้เจอกับคุณแม่ เราเลยถามว่าแล้วพ่อล่ะคะ คุณพ่อบอกว่าก็แม่ไปดูละครไงพ่อเลยต้องเฝ้าร้าน (แป่ว....^^)

ก่อนกลับเราได้ฝากขวดทเวลพลัสเวอร์ชั่นเยซองไว้ให้คุณพ่อ 40 ขวด บอกว่าฝากแจกแฟนคลับเยซองคนอื่นด้วยนะคะ เอามาฝากจากเมืองไทย คุณพ่อหยิบขวดขึ้นมาพลิกๆดูพอเห็นรูปลูกชายก็ยิ้มดีใจ แล้วก็ถามย้ำว่า นี่ให้แฟนๆคนอื่นหมดเลยเหรอ เราก็บอกว่าใช่ เอามาให้คนที่ชอบเยซอง คุณพ่อก็ยิ้มดีใจแล้วถามต่อว่า ของพ่อไม่มีเหรอ (ง่า...มามุขนี้เราถึงกับอึ้ง) ก็เลยบอกคุณพ่อไปว่าหนูให้คุณแม่ไปเมื่อวานแล้วค่ะ อันนี้ของแฟนคลับนะคะ (ถ้าคุณพ่อจะจิ๊กหนูก็ไม่ว่าอะไรนี่ค้า) แล้วคุณพ่อก็หยิบขวดขึ้นมาทำท่าฉีดพร้อมทำเสียงฉีดน้ำหอม ซี๊ดๆ แล้วถามว่าอะไรเหรอ น้ำหอมใช่ไหม เราก็บอกว่าใช่ค่ะ ก่อนกลับคุณพ่อก็ล่ำลาพร้อมจับมือจับไม้ บอกยินดีที่มา เราก็เดินออกจากร้านมาด้วยความรู้สึกที่ดี

ส่วนวันก่อนกลับไทย เราต่อเครื่องจากเซี่ยงไฮ้ แวะเปลี่ยนเครื่องที่เกาหลีก็เลยถือโอกาสแวะไปทานข้าวที่ร้านบับทลส์อีกครั้ง คราวนี้ผลักประตูเข้ามา เจอทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ทั้งสองท่านดูท่าทางจะจำเราได้ท่านก็ทักทายเราเป็นอย่างดี พอสั่งอาหารก็เอาอาหารมาเสิร์ฟ แล้วก็ปล่อยให้เราทานอาหารกัน ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ก็นั่งทานอาหารกลางวันกันอยู่อีกมุมนึงของร้าน เรานั่งอ้อยอิ่งกันอยู่นานหันมาอีกทีคุณพ่อออกไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ส่วนคุณแม่ล้างชามอยู่ในครัว เราก็เกรงใจไม่กล้ารบกวนท่าน เลยเอาของที่ Yesung Baidu ฝากมาจัดวางๆในร้านแล้วก็ถ่ายรูป คนฝากเขาจะได้สบายใจว่าของไปถึงร้านแล้วแน่นอน พอถ่ายรูปเสร็จก็เอาของที่เอลฟ์จีนฝากมาให้คุณพ่อคุณแม่ไปฝากไว้กับเด็กเสิร์ฟ ตอนแรกเขาจะเรียกคุณแม่ให้แต่เราบอกว่าอย่าลำบากเลย ไม่อยากรบกวนการทำงาน น้องเขาก็รับคำว่าจะเอาให้คุณแม่เยซองให้นะคะ เราก็ย้ำไปว่าอันนี้ไม่ใช่ของของเรานะ เป็นของที่เอลฟ์จีนฝากมาให้ เขาก็รับคำว่าเขาเข้าใจ ส่วนของขวัญที่เราจะฝากให้เยซอง เราก็ฝากน้องเด็กเสิร์ฟไว้เหมือนกัน พอเราฝากไว้เสร็จ พอคุณแม่เห็นว่าเป็นของของเราไม่ใช่ของที่คนอื่นฝากมาเขาเลยรีบล้างมือมารับของเอง (เกรงใจคุณแม่มากๆๆๆๆๆ) แล้วคุณแม่ก็ชวนคุยว่าจะขึ้นเครื่องกลับแล้วเหรอ เดินทางดีๆนะ เราก็รับคำแล้วก็บอกคุณแม่ว่าคราวหน้าถ้ามาเกาหลีจะมาที่ร้านอีก คุณแม่ก็ยิ้มแล้วบอกว่ายินดีต้อนรับนะจ๊ะแล้วก็จับมืออำลากันเรียบร้อย

นี่คือมุมน่ารักๆของร้านเล็กๆที่ชื่อว่าบับทลส์ เราเชื่อว่าถ้าใครได้มีโอกาสไปเยือนที่ร้านเมล็ดข้าวแห่งนี้จะต้องตกหลุมรักร้านเล็กๆแห่งนี้อย่างแน่นอน

แล้วเราจะกลับไปที่นั่นอีก เราสัญญา

Tuesday, March 09, 2010

Hong Gil Dong...JJong Gil Dong...

ตามมาถึงบล็อกเราแปลว่าอยากดูเยซองจริงๆ
เอา MP3ไปก่อนนะ เชิญๆๆๆ



ต่อไปนี้คือการสปอยล์
꿈꾸는 세상 หรือ World of Dream เป็นเพลงฉากแต่งงานค่ะ
ด้วยความรู้ด้านภาษาเพียงน้อยนิด ทำให้เราไม่กล้าอธิบายมากไปกว่านี้เพราะกลัวผิด
พระเอกกับนางเอกร้องคู่กัน เสียงเพราะมาก
พอดีตรงที่เรานั่งตรงกับบล็อกกิ้งนางเอกพอดี ก็เลยได้เสียงนางเอกมาค่อนข้างชัดนิดนึง
ถ้ามีโอกาสอยากให้ไปชมกันเยอะๆนะคะ

และหลังจากที่ตบตีกับ Youtube มาตั้งแต่ที่เซี่ยงไฮ้
จนทำ Memory card คอนเสิร์ตที่เซี่ยงไฮ้หายไปเรียบร้อย (ฮือๆๆ)
ในที่สุด เราก็พยายามตัดไฟล์และเอาคลิปลง Youtube สำเร็จ
รู้ว่ามีคนรอดูอยู่เยอะ เพราะฉะนั้น เชิญๆๆๆ



For international fans, enjoy his voice and please support Yesung !
For those who can visit Korea, please come to Woori Theater and support Hong Gil Dong.