Wednesday, September 20, 2006

เปิดซิงชิคาโก

เปล่า หัวข้อข้างบนนั่นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรอก

แค่ตอนนี้อยู่ที่ชิคาโก

ได้บินมาซะที หลังจากที่บริษัทเปิดรูปให้บินมาปีกว่า

อันที่จริงเราเองก็ได้ตารางบินมาชิคาโกบ่อยๆ แต่ไม่รู้เป็นไง ได้เสก็ตมาทีไร มีอันต้องแลกกับเพื่อนทุกที

วันนี้ฤกษ์งามยามเหมาะ เลยได้มาบินกับตาว เพื่อนสาวสุดสวยของเรา อันที่จริงชื่อนี้อาจจะแปลกหูไปบ้าง เพราะเรากับตาวก็ไม่ได้สนิทกันมาเท่าไหร่ ลักษณะภายนอกก็แสนจะต่างกัน เรามันอ้วนล่ำ ดำถึก ในขณะที่ตาวเป็นสาวสวย สูงเพรียว หน้าตาคมสมเป็นสาวไทยแท้ เวลาบินบินก็ไม่ค่อยได้เจอกัน บินสวนกันไป สวนกันมาตลอดเวลา เรากับตาวเลยมีชีวิตคล้ายๆจะเป็นเส้นขนานกันตลอด ถ้าเราอยู่กทม. ตาวจะอยู่ US เป็นต้น แต่คราวนี้ตาวแลกตารางบินกับหมวย เราก็เลยมีโอกาสได้มาบินแพทเทิร์นเดียวกัน

ขามาบนไฟลท์ เจอผู้โดยสารฟิลิปปินส์งี่เง่าอยู่ครอบครัวหนึ่ง (วันนี้อารมณ์ดี เลยไม่อยากพูดถึง ไว้วันไหนอารมณ์หงุด จะมาด่ารวบยอดทีเดียวละกัน)แต่อย่างไรก็ตาม โชคดีตรงที่มากับ make up team เป็นทีมบริการแบบใหม่ของเอเชียน่า ให้ผู้โดยสารได้มีโอกาสแต่งหน้า และมาสก์หน้าโดยมีแอร์บริการอำนวยความสะดวกสบายให้ถึงที่ ผู้โดยสารมีความสุข ชาวลูกเรือก็ปลื้มใจ เพราะได้จดหมายชม วันนี้ได้จดหายชมมาสองฉบับ รวมกับที่ได้จากไฟลท์ JFK ขากลับ (ก่อนหน้านี้สองวัน)รวมแล้ว ภายในเดือนเดียว ทีมที่เราทำงานด้วย ได้จดหมายชมตั้งสามฉบับ

โอ้ ! ช่างกิ๊บเก๋ ยูเรก้าอะไรเช่นนี้ ^__^

มาถึงโรงแรมที่ชิคาโก้ ลูกเรือเอเชียน่าพักกันที่โรงแรมเชอราตัน หน้าตามันแสนจะหรูหรา ไฮโซ มีห้องนั่งเล่น แยกเป็นสัดส่วนกับห้องนอน มันเป็นห้องสูททุกห้องเลยสวยที่สุดในบรรดา lay-over ที่อเมริกา แถมใน crew lounge มีไม่โครเวฟให้อุ่นกินได้ด้วย สุขีมากๆ

เช้านัดหมวยจะออกไปเที่ยว

เช้าขึ้นมา ระหว่างที่รอหมวย ได้คุย MSN กับน้องไห คุยอยู่ดีๆน้องไหก็โพล่งขึ้นมาว่า "ปฏิวัติ" เราก็งง ปฏิวัติอะไรกัน ไหบอกว่า ตอนนี้ที่กทม.มีข่าวปฏิวัติกันแล้ว ข่าวสารจะเป็นอย่างไร ขอให้ติดตามตามหน้าหนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต และสื่อต่างๆเอาเอง เพราะเราเองก็อยู่ไกลมาครึ่งโลก ข่าวอะไรก็รู้ไม่ค่อยมาก เปิดทีวีดู CNN ก็เห็นอีตาลูกบุชพล่ามเรื่องสันติภาพตะวันออกกลางอยู่ในทีวี ฮ่วย -_-' ได้แต่เปิดเว็บไซด์และดูข่าวทางโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ ข่าวจริงบ้าง มั่วบ้าง ใจคอเริ่มไม่ค่อยดี

พอได้เวลาหมวยก็มาเคาะห้อง ว่ามาถึงแล้ว

พวกเราได้นั่งรถ(หมิงหมิงขับ)ไปในตัวเมือง หมิงหมิงพาไปกินติ่มซำที่ไชน่าทาวน์ คิดว่าคงเป็นความบังเอิญ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราชอบกินติ่มซำมากๆ เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสกินติ่มซำแบบฮ่องกงแท้ๆ อร่อยอย่าบอกใคร

จบจากพิธีกรรมติ่มซำ หมิงหมิงพาพวกเราไปเดินแถวมิลเลเนียมพาร์ค และเดินเลาะไปจนถึงย่านที่มีร้านรวงต่างๆ สาวๆก็เดินช้อปกันสนุดมีดไป จนฝนตก ถึงได้ขับรถกลับ

เปล่า ไม่ได้กลับโรงแรมหรอกแต่กลับมาแถวๆนอกเมือง และย้ายไปเดินกันในมอลล์ต่อ จนค่ำ ถึงได้กลับมาที่โรงแรมพร้อมของที่ช้อปมาทั้งวัน แถมของกินสเบียงสำหรับพรุ่งนี้อีก

กลับมาถึง ยังตามข่าวปฏิวัติต่อไป

แล้วมันก็จะผ่านไปครับ พี่น้อง

ปล.ถ่ายรูปมาด้วยหละ แต่ยังไม่รู้จะเอาลงเน็ตยังไง เพราะลืม card reader ไว้ที่เมืองไทย เวรก๊ำ เวรกรรม

Saturday, September 16, 2006

Phantom of The Opera

สองคนนี้เป็น cast ที่ได้ไปดูมา พลังเสียงสุดยอด
นางเอกและแฟนนางเอก (คริสตีน และราอูล)



คนนี้คือแฟนทอม



เอาเข้าไป คู่นี้เป็น original cast

Thursday, September 14, 2006

เรื่องของ The Lion King

รีบกลับมาเขียนก่อนที่จะลืมซะหมด

เพิ่งกลับมาจากโรงละคร Minskoff Theatre ค่ะ

บอกชื่อโรงละคร คงงงกันไปเป็นแถวๆ แต่ถ้าบอกว่าไปดู The lion King มา ทุกคนคงร้องอ๋อ อาจจะมีสงสัยบ้างว่า ไม่เคยดูการ์ตูนเรื่อง The Lion king หรือไง ไอ้เคยน่ะมันเคยอยู่หรอก แต่วันนี้ขอไฮโซ ไปดูละครเพลง (หรือที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า Musical) ก็แล้วกัน

จะว่าไป ฉันเองก็เรียนจบมาจากภาควิชาศิลปะการละคร เพื่อนฝูงคนอื่นที่เขาจบ ก็ทำมาหากินในสาขาวิชาที่จบมากันทั้งนั้น มีไอ้คนไม่รักดีอย่างฉันนี่แหละ ที่แปลกแยก มาทำอาชีพอื่นที่ไม่เกี่ยวกับละครซักเท่าไหร่
แต่ความรักในศิลปะการละคร ก็ยังมีอยู่นะ

มา JFK ก็หลายครั้ง แต่ยังไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสกับละครบรอดเวย์แท้ๆสักที คราวนี้ฤกษ์งาม ยามเหมาะ เงินในกระเป๋าก็เป็นใจ เลยตัดสินใจว่าจะดูละครบรอดเวย์ให้ได้ ว่าแล้วก็เปิดหนังสือ City Guide หาละครที่น่าดู ละครบรอดเวย์มีเยอะมาก ส่วนใหญ่ จะตั้งโรงละครกันอยู่บริเวณ Theatre District ย่าน Time Square ใจกลางกรุงนิวยอร์ค ราคาตั๋วก็มีต่างๆกันไป คราวนี้ที่ตัดสินใจมาดู เดินท่อมๆหาโรงละครแบบเอ๋อๆ ตั้งใจว่า โรงไหนมันยังไม่เต็มก็โรงนั้นแหละ เล็งละครเรื่อง The Lion King และ Beauty and the Beast เอาไว้สองเรื่อง เคยดูการ์ตูนดิสนี่ย์มา หวังไว้ว่ายังไงก็สนุก

ถึงเวลากระเหรี่ยงกลางกรุงนิวยอร์คก็เดินกางแผนที่งงๆ ไปจนเจอโรงละคร Minskoff Theatre ที่ถนนสาย 45th St. เดินไม่รู้เรื่องรู้ราวเข้าไปที่ Box Office ซื้อตั๋วมาได้ใบนึง นึกในใจ ทำไมมันแพงอิ๋บอ๋ายโลย ใบนึงตั้ง 111.25 $ แน่ะ ค่าขนมหลายวันเชียว แต่ไหนๆตัดสินใจมาดูแล้วนี่นา เอาเถอะ ก็ถือว่าซื้อประสบการณ์ชีวิตสักครั้งแล้วกัน ว่าแล้วก็เดินกำตั๋วราคาแพงหูฉี่ เข้าไปนั่งในโรงละคร

ละครฝรั่งเริ่มตรงเวลาเป๊ะ ถึงเวลาเขาก็ประกาศห้ามถ่ายรูป และงดใช้โทรศัพท์ขณะชมมหรสพตามกฎของเมืองนิวยอร์ค (เมืองไทยมันน่าจะมีแบบนี้มั่งแฮะ) ฝรั่งที่มานั่งดูละคร เขาก็เคารพกฎกันดี ไม่เห็นมีใครมีทีท่าจะฝ่าฝืนกฎสักคน

มาว่าเรื่องของละครที่ได้ไปดูมาดีกว่า

ประทับใจมากมายกับละครบรอดเวย์ครั้งแรกในชีวิต อันที่จริงเราเคยเห็นภาพ Production ของละครเรื่องนี้มาแล้วเพราะเป็นละครดัง ชนะรางวัล Tony’s Award ตั้ง 6 รางวัลในปีเดียว ยืนยันความไฮโซของละครได้เป็นอย่างดี เด็กเรียนละครอย่างน้อยต้องเคยเห็นภาพโปรดักชั่นผ่านตากันมาบ้าง พอมีโอกาสด้าดูละครกับตาตัวเอง ก็เลยตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

บท และเนื้อร้องไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว ดีเยี่ยมสมกับเป็นละครจากค่าย ดิสนี่ย์ เพลงที่ใช้ประกอบทั้งหมดก็เหมาะเจาะ สมกับที่กลั่นออกมาจากมันสมองของท่านเซอร์ เอลตัน จอห์น acting และ dancing ล้วนกลมกลืนเหมาะเจาะกันไปทั้งเรื่อง ดูแล้วซูฮกผู้กำกับการแสดง (Julie Taymor)ว่าทำไมเขาช่างเก่งเหลือหลายขนาดนี้
ละครเรื่องนี้มีจุดเด่นจริงๆอยู่ที่การใช้ Mask และ Puppet มาร่วมแสดง เห็นแล้วตื่นตาตื่นใจว่าทำไมถึงช่างคิด ช่างประดิษฐ์ได้เลอเลิศซะขนาดนี้ เทคนิคการแสดงของคนร่วมกับ Mask and Puppet ถือเป็นเทคนิคขั้นเทพ ดูแล้วไม่รู้เบื่อ ตั้งแต่ฉากแรก ว่าด้วยการฉลองการเกิดของ Simba ผู้กำกับคนนี้สามารถเอาภาพของสัตว์นานาชนิด เข้ามาใส่ใว้บนพื้นที่เวทีซึ่งมีจำกัด ลองจินตนาการถึงช้าง กวาง ยีราฟ สิงโต เรื่อยไปจนถึงฝูงนก มาชุมนุมกัน เป็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจคนดู สัตว์ต่างๆที่มีบทบาทในเรื่อง ทั้งลิงบาบูน นกกระสา หมูป่า หรือแม้กระทั่งสิงโตซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องล้วนมีชีวิตชีวาโดยผ่านการตีความของผู้กำกับและนักแสดงที่มีฝีมือมหัศจรรย์ ทึ่งใน inner ของนักแสดงที่รู้สึกถึงความเป็นสัตว์ชนิดนั้นจริงๆ ทั้งอากับกิริยา การแสดงออก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังไม่ทิ้งความเป็น “มนุษย์”ที่ต้องการสื่อสารกับคนดู และยังต้องเชิด puppet ไปด้วย ยอมรับว่าเขาเก่งจริงๆ คนดูที่ดู พร้อมจะเชื่อในมนต์สมมติที่ทีมงานได้ร่วมใจกันสร้างขึ้น ภาพบนเวทีมันจริงใจมากถึงขนาดที่ฉากหนึ่ง สการ์ (ลุงตัวร้ายของซิมบา) กำลังอาละวาดอยู่นั้นเอง มีเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง ถึงกับร้องไห้จ้าขึ้นมาทีเดียว

ไม่รู้ว่าเป้นความจงใจของผู้กำกับการแสดงหรือเปล่า ที่เลือกนักแสดงส่วนใหญ่ในแคสเป็นนักแสดงผิวสี แต่ภาพที่ออกมาบนเวที เป็นภาพที่เข้ากันมาก เราเห็นภาพป่าแอฟริกัน มีนักแสดงเป็นคนผิวสี ร้องเพลงทั้งแนวพื้นเมือง และแนวประยุกต์ แต่ก็มีกลิ่นอายของความเป็นคนผิวสีอยู่ด้วย พลังเสียงนักแสดงทุกคนสุดยอดมาก ตั้งแต่นักแสดงเด็กอายุ 10 ขวบ ไปจนนักแสดงรุ่นเดอะ ทุกคนล้วนมีพลังและเอาคนดูอยู่ได้ถึงสองชั่วโมงครึ่ง



ช่วงที่ละครมีการพักครึ่ง กระเหรี่ยงคนนี้เลยตัดสินใจ เป็นไงเป็นกัน ถามคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆว่า ทำยังไงถึงจะได้ซื้อตั๋วในราคาถูก ฝรั่งเขาก็ใจดี หันมาตอบว่า วันหลังให้ซื้อที่ถูกๆก่อน แล้วค่อยย้ายมานั่งตอนพักครึ่งก็ได้ หรือไม่งั้น ให้ไปเข้าแถวรอตรง box office ที่ Times Square เค้าจะมีตั๋วลดราคามาขาย แต่เราต้องเล็งจังหวะให้ดี

ละครจบ ด้วยความแค้นใจที่หลงซื้อตั๋วแพงเกินเหตุ ก็เลยตัดสินใจเดินไปที่ถนน 44th St. ซื้อตั๋ว Phantom of the Opera ราคา 26 $ มาอีกที่ เดี๋ยวคืนนี้สองทุ่ม จะไปดูอีกรอบ

สรุป ดูละครบรอดเวย์สองเรื่อง จ่ายไปเกือบ 140 $ แพงกระเป๋าฟีบ แต่ก็ยินดีจนกรอบไปอีกทั้งเดือน เพราะถือว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆ

เดี๋ยวคืนนี้ดู Phantom เสร็จแล้วจะกลับมาอัพบล็อกอีกรอบ

ปล. แวะเอาคลิป Lion King มาใส่ไว้ ขอบอกว่าขอจริงไฮโซกว่านี้เยอะ




Season Change

วันนี้ดูโฆษณา และเพลงประกอบภาพยนต์ไปพลางๆก่อน......






จำได้ไหม
วันที่ต้องเดินทางมาถึงจุดสำคัญ ช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต
วันที่ต้องตัดสินใจวางแผนครั้งใหญ่เกี่ยวกับชีวิตตนเอง
วันที่วุฒิภาวะยังไม่เพียงพอต่อการกำหนดชีวิตที่เหลือ

หากจะต้องเลือก
คุณจะเลือกอะไร



......เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

Monday, September 04, 2006

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว.....

นานได้ที่แล้ว ที่ไม่ได้อัพบล็อกเน่าๆอันนี้

เท่าที่จำได้ ก็ประมาณเดือนกว่า

ประการแรก มันเริ่มจากไฟลท์ SFO ที่ไปกับนิ และโก๊ท ไม่มีอะไรมากนอกจากเดินเล่น ซื้อของเล็กๆน้อยๆกันตามประสาเพื่อนสาว ไฟลท์เยินสุดชีวิต กลับมาก็ไปบิน ผ่านชีวิตเหนื่อยยากมาร่วมเดือน
ตอนนี้คล้ายๆกับชีวิตเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

อ้อ ! ในเวลาหนึ่งเดือนทำอะไรไปตั้งหลายอย่าง

ขอพูดถึง AF3 ซักหน่อย ณ วันนี้ ได้ผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้ายแล้ว คือ ต้า ซาร่า มินต์ บอย และตุ้ย ก็ค่อนข้างที่เราเก็งไว้แต่แรก (เดือนที่แล้ว จำได้ว่าเก็งไว้สามคนคือ มิ้นต์ ตุ้ย และต้า)น้องร่าเป็นคนที่เป็นไปตามคาด แต่เหนือความคาดหมายนิดหน่อย คือดูออกว่าน้องร่าน่าจะเข้ารอบลึก แต่ก็ไม่คิดว่าน่าจะได้อยู่ถึงวีคสุดท้าย คิดว่า UBC คงมีส่วนช่วยดัน เพราะจะให้น้องมิ้นต์เป็นเด็กหญิงอยู่ในบ้านกับลิงทะโมนทั้งหลายได้ไง ไม่ควรอย่างยิ่ง ก็นับว่าเป็นโชคดีของหนูร่าไป ที่ FC เยอะ และUBC เมตตา

คนที่ผิดคาดไปมากๆคือน้องเพชร ความสามารถขนาดนี้ ไม่น่าไปเป็นคนที่สองเลย ชาวบ้านร้านตลาดตกใจไปตามๆกัน แต่คิดว่าน้องเพชรคงหัวแข็งเกินกว่าทีทีมงานจะปล่อยให้เธอออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมง การเอาออกอาจจะเป็นวิธีที่ง่ายสำหรับทีมงาน ส่วนอีกคนที่ผิดคาดมากมายคือน้องบอย ตอนแรกที่ดู ไม่คิดว่าบอยจะชนะใจคนดูได้มากมายขนาดนี้ อย่างที่รู้ๆกันว่าเราไม่ค่อยได้ดูในบ้านเท่าไหร่เพราะต้องไปบิน แต่หลังจากที่ได้มีโอกาสไปดูที่ ธันเดอร์โดมวีคที่ 7 (วีคแดนซ์ ~ หมูตูนออก) ทำให้เห็นพลังอันล้นเหลือของบอย เห็นได้ว่บอยเป็นคนที่เอาตัวรอดได้บนเวที และสามารถทะลุกำแพงได้เยอะกว่าใคร เผลอๆ ผลโหวตอาจจะพลิกล็อคให้บอยได้รถไปขับเลยก็ได้ ไอ้ที่หนึ่งน่ะ ตุ้ยเห็นๆ นอนมาชนิดไม่ต้องแข่งกันอีกแล้ว -_-'

เดือนที่แล้ว นายแม่แห่ง JBT มีเหตุอันให้ต้องเข้าโรงพยาบาล อาศัยว่าเราอยุ่ใกล้ เลยมีโอกาสได้ไปอยู่เป็นเพื่อน ให้Super Nok ไม่เหงามากนัก ที่จริงตอนแรกก็ไม่กะจะไปบ่อยขนาดนั้น แต่บังเอิญมีวันนึง ดันโผล่ไปเอาตอนที่นายแม่ดู DVD น้ำตาไหลพรากๆ ไม่รู้ว่ามันอินกับหนัง หรือมันเหงากันแน่ แต่ที่แน่ๆ เห็นSuper Nok iองไห้แบบนั้น ใจอ่อนยวบเลย เลยต้องอ้างหาดอกไม้ไปให้มันทุกวัน คนเคยไฮเปอร์กระฉับกระเฉงแบบนั้น ถ้าต้องมานอนให้น้ำเกลือคงทรมาน งานนี้ชาว JBT ได้โอกาส ไปปาร์ตี้ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์กันสองวันเลยทีเดียว ยังจำได้ถึงรสชาติอาหารทะเล(ผ่านการปรุงพิสดารโดยป้าแมวและคณะ -_-')อร่อยมากมาย รสน้ำใจ บวกกับรสแห่งมิตรภาพ เป็นสิ่งที่ลืมไม่ลงจริงๆ วันหลังคงมีนัดกินแบบนี้กันอีก หวังว่าคงไม่ใช่ที่โรงพยาบาลนะ

ตอนนี้มีรุ่นน้อง BKK crew รุ่น 90 ออกมาบินกันปร๋อแล้ว รู้สึกแก่ขึ้นเป็นกอง น้องๆทุกคนหน้าตาสดใสน่ารัก สมกับที่เขาร่ำลือกันว่าน้องๆ Asiana รุ่นนี้คัดหน้าตามาทุกคน เราเองก็ได้แต่หวังให้น้องๆปรับตัวกับการทำงานบนไฟลท์ และวัฒนธรรมเกาหลีให้ได้เร็วๆ จะได้มีความสุขกับอาชีพ เราเองถึงจะบ่นๆไปบ้างตามประสา แต่ที่จริง ก็ยอมรับละ ว่าหลงรักการเป็นคนบนฟ้า ตื่นเต้นทุกครั้งที่เครื่อง take-off รู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นเครื่องบินผ่านเมฆ ทุกวันนี้ยังรักที่จะมองลงไปเบื้องลงแล้วพบเห็นวิวจากมุมสูง รักที่จะได้เป็นผู้สร้างความสุขและความสะดวกสบายให้ผู้โดยสาร ผู้ที่ชื่อว่ามอบเงินเดือนให้เราอยู่ดีกินดี และทุกวันนี้ แม้จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็สามารถพูดได้ว่า มีความสุข(แทบ)ทุกครั้งที่ต้องลากกระเป๋าไปบิน ถึงบางไฟลท์จะไม่น่าอภิรมณ์ แต่เราเชื่ออยู่อย่างนึงว่า งานทุกงานมันมีความน่าเบื่อในตัวเอง อย่างน้อยงานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ มันก็น่าเบื่อน้อยที่สุดสำหรับเราแล้วหละ

วันที่นั่งอัพบล็อกอยู่นี้ เราเพิ่งกลับมาจากการบินไฟลท์ JFK ที่แสนจะเหนื่อยโหด แถมไปกับซอนแบนิมที่ขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์วัยทองสุดฤทธิ์ (บอกชื่อก็ได้ เฮียแกชื่อลีเจจิน) เป็นกระเทยเกาหลี ตัวเบ้อเริ่ม มีเรื่องกับลูกเรือ oversea มาหลายรายแล้ว แต่แปลกที่ไปบินคราวนี้เฮียแกอารมณ์ดี อุ่นแนด์วิช ทำกาแฟให้กิน นั่งคุย นั่งโอ๋เราทั้งไฟลท์ ไม่รู้ว่าเห็นว่าเราป่วยหรืออย่างไร แต่ก็ดีแล้ว ไม่ได้คิดอยากจะแหย่เสือหลับหรอกนะ

มาบินแพทเพทิร์นนี้ เหนื่อย และป่วยที่สุดเท่าที่เคยบินมา เพราะเป็นหวัดเรื้อรัง ยาวนาน กินยาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ป่วยมารวมอาทิตย์กว่าแล้ว แต่ทุกครั้งที่อาการดีขึ้น มันก็ได้เวลาต้องขึ้นบิน พอไปเจอสภาพอากาศบนเครื่องที่ทั้งหนาว ทั้งแห้ง อากาศไม่ถ่ายเท อาการหวัดที่เป็นก็กำเริบอีก ยาหมดสต็อก แถมต้องไปซื้อเพิ่มจากนิวยอร์ค ยาเมืองนอกแพงสิ้นดี จ่ายค่ายา น้ำตาแทบไหลพรากๆ อ่านฉลากยาจนงง ยาเมืองนอกส่วนมากเป็นยาที่มีตัวยาผสมมาอยู่แล้ว ไม่มียาที่รักษาตามอาการเลย จะกินสุ่มสี่สุ่มห้าก็กลัวจะได้รับยาเกินขนาน ได้แต่กินข้าวกินยาแล้วก็กระเซอะกระเซิงกลับมานอนในโรงแรมจนได้เวลาบินกลับ

เข้าใจถ่องแท้ว่าการไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ

เวลาที่เกาหลีตอนนี้ใกล้จะ 7 โมงเช้า ฟ้าสางอีกแล้ว เดี๋ยวคงได้เวลานกฮูกอย่างเราเข้านอนซะที มีเวลา day-off อีกวันก่อนบินกลับบ้าน กลับไปคราวนี้ ต้องจัดการเรื่องย้ายห้องให้เสร็จวะที ไม่งั้นคงไม่ได้ย้าย เพราะไม่มีวันหยุดยาวๆเลย

น้ำมูกยังไหลติ๋งหนืด ไอแค็กๆ และมีอาการปวดเมื่อยตามตัวอยู่ดี

คิดถึงทุกคนที่เมืองไทยจริงๆ

ปล.เข้ามาอัพบล็อกเพิ่มนิดหน่อย พอดีได้ไปดู flash จากเว็บไดของรุ่นน้องมา ลิ้งค์มาจากไหนไม่รู้ แต่ประทับใจมากมาย ดูไปอมยิ้มไปตลอดเลย
คลิกที่นี่

ฟังเพลงนี้แล้วคิดถึงหมาย้วยมากมาย


เธอมาเติมดาวให้เต็มขอบฟ้า เธอมาทำให้พระจันทร์เต็มดวง
ทำให้คืนที่มันมืดมนสดใสสว่างไม่รู้เพราะเหตุใด
เธอมาทำให้หัวใจหวั่นไหว เธอมาเติมรักให้เต็มดวงใจ
ทำให้ใครคิดถึงต้องเธออย่างนี้ทุกคืนอย่างนี้ทุกวัน

อยากจะรู้ว่าเธอทำอย่างนี้ได้ยังไง
เหมือนมีมนต์ดลใจ สะกดฉันให้อยู่ในความฝันแม้ยามตื่น
ฉันก็ไม่อาจฝืนห้ามใจไม่ให้รักเธอ

รู้บ้างไหมว่าเธอทำให้คืนวันมันช่างมีความหมาย
แม้เธอไม่ตั้งใจ แต่โลกนี้ก็สดใสเพราะมีเธอ
รู้บ้างไหมว่ามีใครที่เธอทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
ให้ฉันได้เข้าใจ ว่ารักนั้นเป็นอย่างไรฉันขอบใจเธอ

เธอมาเติมดวงตะวันยามเช้า เธอมาทำให้สายลมบางเบา
ทำให้โลกที่มันว่างเปล่าไม่เหมือนวันเก่า ไม่เหงาอีกต่อไป
เธอมาทำให้ฉันร้องเพลงรัก เธอมาทำให้หัวใจโบยบิน
ทำให้ฉันนั้นจะได้ยินแต่เสียงหัวใจบอกว่ารักเธอ

อยากจะรู้ว่าเธอทำอย่างนี้ได้ยังไง
เหมือนมีมนต์ดลใจ สะกดฉันให้อยู่ในความฝันแม้ยามตื่น
ฉันก็ไม่อาจฝืนห้ามใจไม่ให้รักเธอ

รู้บ้างไหมว่าเธอทำให้คืนวันมันช่างมีความหมาย
แม้เธอไม่ตั้งใจ แต่โลกนี้ก็สดใสเพราะมีเธอ
รู้บ้างไหมว่ามีใครที่เธอทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
ให้ฉันได้เข้าใจ ว่ารักนั้นเป็นอย่างไรฉันขอบใจเธอ

เหมือนว่าทุกสิ่ง เหมือนว่าทุกอย่างวันนี้
ที่ดูสวยงามเหลือเกินเกิดขึ้นทันใดเมื่ออยู่ใกล้เธอ

รู้บ้างไหมว่าเธอทำให้คืนวันมันช่างมีความหมาย
แม้เธอไม่ตั้งใจ แต่โลกนี้ก็สดใสเพราะมีเธอ
รู้บ้างไหมว่ามีใครที่เธอทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
ให้ฉันได้เข้าใจ ว่ารักนั้นเป็นอย่างไร...

รู้บ้างไหมว่าเธอทำให้คืนวันมันช่างมีความหมาย
แม้เธอไม่ตั้งใจ แต่โลกนี้ก็สดใสเพราะมีเธอ
รู้บ้างไหมว่ามีใครที่เธอทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
ให้ฉันได้เข้าใจ ว่ารักนั้นเป็นอย่างไรฉันขอบใจเธอ