Sunday, April 27, 2008

สี่แพร่ง

ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ไปดูหนังเรื่องนี้







กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

(อีกที)



กลัวนะ แต่ก็ดีใจที่ได้ดู

Saturday, April 19, 2008

.....

อาจจะดูดีเลย์ไปหน่อย





แต่ว่า....





กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด






ดีใจจริงๆนะกับคนได้ได้เจอเมื่อคืนวาน



หนึ่งปีผ่านไป เค้ายังน่ารักสดใสไม่เปลี่ยนแปลง


ขอบคุณคุณครู ขอบคุณบีวิช
ขอบคุณน้องฟาน ขอบคุณแมวยักษ์
ขอบคุณพี่จี้ ขอบคุณพี่เอ
ขอบคุณที่มาช่วยกัน

ขอบคุณเด็กหน้าตากวนได้ใจ ที่ยังไงก้อรักมัน





ขออีกที




กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด




^__^

Wednesday, April 16, 2008

Recurrent Training

Recurrent Training

ห่างหายจากการคุยกับตัวเองไปหลายวัน
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ชีวิตยุ่งเหยิงจากการเรียน
แม้จะงุนงงไปบ้าง แต่ก็ทำใจได้
เอาเถอะ เค้าจ้างให้เรียนปีละไม่กี่วัน ก็อย่าบ่นไปเลย
การเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินนั้น จำเป็นต้องมีการเทรนเพื่ออัพเดทความรู้อยู่ตลอดเวลา
ในแต่ละปี จะต้องมีหนึ่งครั้งที่พวกเราลูกเรือจะต้องไปเรียนหนังสือเพื่อเป็นการ "ปัดฝุ่น" ไม่ให้ความรู้ขึ้นสนิม
และเอาความรู้นั้นมาสอบเพื่อต่ออายุใบอนุญาตทำการบิน
ไบอนุญาตที่ว่านี้มีอายุแค่ปีเดียวเท่านั้น หากไม่ได้เข้าเรียน และสอบตามกำหนด
ใบอนุญาตก็จะหมดอายุ แล้วก็ต้องเรียนใหม่สอบใหม่ เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพนี้ได้ต่อไป
มันก็คงหมือนกับใบประกอบโรคศิลป์ของหมอ เภสัช พยาบาล หรือใบประกอบวิชาชีพของพวกวิศวะนั่นแหละ
เราเอง แม้ว่าจะเคยเรียน Recurrent มาแล้วจากที่ทำงานเก่า
แต่สำหรับการทำงานที่นี่ เราเพิ่งเทรนRecurrent ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
เลยออกจะตื่นเต้นเหมือนไม่เคยRecurrent มาเลย
เพราะรู้ๆกันอยู่ว่าที่สายการบินนี้สอบ Safety และ First Aid โหดมาก
กลัวว่าจะสอบไม่ผ่าน ต้อง Re-Sit ดีไม่ดีต้องรอเรียนกับชั้นเรียนเดือนหน้า อันนี้น่ากลัวมากมาย
เลยออกแนวเครียดและสับสน
ยิ่งเจี๊ยบ เพื่อนสนิทในรุ่นโทรมาออกอาการนอยด์ๆว่ามันยากเย็น ก็ยิ่งประสาทเสีย
จะหยิบหนังสือมาอ่าน ก็ไม่รู้จะอ่านยังไงตรงไหน
เพราะไบเบิลเล่มแดงของลูกเรือนั้น จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก
ที่ว่าง่ายก็คือเค้าถามอยู่ในหนังสือนั่นแหละ ไม่เอาจากที่อื่นมาออกสอบแน่นอน
แต่ที่ว่ายากคือ ต้องทำความเข้าใจและจำไอ้ที่อยู่ในเล่มนั้นให้ได้เปร๊ะๆทั้งหมด
ฮือๆๆ ปลาทองสมองวุ้นอย่างเราจะจำได้ยังไง T_T

มาเริ่มวันแรกกันดีกว่า

First Day - - > First Aid
วันแรก พวกเราต้องไปเรียน brush up กันที่สถาบันเวชศาสตร์การบิน
ลูกเรือทุกคนในประเทศไทยต้องไปเรียนที่นี่กันทั้งนั้น เพื่อจะได้ตรงตามมาตฐานของกรมการบินพาณิชย์
เรื่องที่เรียนก็ไม่ต่างจากที่เคยเรียนมาแล้วแต่เค้าจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ซึมเข้าไปในสมองกลวงๆของเรา
เช่นเรื่องของทฤษฎีของสภาวะร่างกายขณะทำการบิน เรื่องของการจัดการกับร่างกายตัวเองขณะบิน
ตลอดจนสิ่งต่างๆที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายของเราในขณะบิน
เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ฟังสนุก เพราะเราชอบเรียนอะไรที่เกี่ยวกับการบินอยู่แล้ว เลยฟังผ่านๆไป ไม่ยากเท่าไหร่
ต่อไปก็ว่าด้วยเรื่องของโรค หรืออาการต่างๆที่อาจพบได้ขณะที่เราทำการบินอยู่
มีทั้งโรคเล็กๆ จัดการรับมือกับมันได้ง่ายๆ
ไปจนถึงโรคที่ไม่สามารถจัดการกับมันได้ ต้องปฐมพยาบาลแล้วเอาเครื่องลงส่งต่อแพทย์ลูกเดียว
ภาคบ่าย เราเรียนรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลทุกชนิด
ซึ่งที่จริง เราเองก็โดนสุ่มถามเวลาไปบินอยู่แล้ว ดังนั้นลูกเรือแอร์เอเลยพอตอบกันได้บ้าง
แม้จะจำรายละเอียดไม่ได้ทั้งหมดก็ตาม

นอกจากนี้ เรายังต้องฝึกปฏิบัติ CPR กับหุ่นแอนนี่ (Annie Rescue)
เพื่อเราจะได้สามารถช่วยกระตุ้นการหายใจและปั๊มหัวใจขึ้นมาได้ในกรณีฉุกเฉิน
ถามครูฝึกว่าในความเป็นจริง มีคนมากน้อยแค่ไหนที่รอด
ครูยิ้ม ไม่ตอบ แล้วบอกว่า ก็ถ้าช่วยเค้าทันภายในสี่นาทีก็อาจจะรอด
อันนี้หมายถึงถ้ามียาฉีดกระตุ้น มีเครื่อง AED ช่วยปั๊มกันขึ้นมา มันก็จะโอกาสรอดเยอะขึ้นด้วย
แต่ส่วนมาก ไม่ค่อยทันกันหรอก เพราะคนที่มีความรู้ สามารถ CPR กันขึ้นมาได้ มีน้อยมาก
เฮ้อ !!!
นึกถึงเคสผู้โดยสารเป็น Heart Attack บนรถรับส่งระหว่างอาคารผู้โดยสารและเครื่อง
วันนั้น ถ้ามีคนที่ทำ CPR เป็นมาช่วยเค้าทัน เค้าอาจจะรอดก็ได้นะ
อย่างน้อย ถ้ามาเป็นตรงหน้าเครื่อง ลูกเรือก็อาจจะพอปฐมพยาบาลเค้าได้
วันแรกไม่มีสอบอะไร
แต่กลับบ้านต้องอ่านหนังสือกันมากมายเพื่อเตรียมสอบในวันรุ่งขึ้น
วันที่สอง - - > Safety and Exam
อ่านหนังสือเครียดปางตายเพราะไม่รู้ว่าจะต้องสอบอะไรยังไงตรงไหนบ้าง
เลยอ่านเน้นๆตรง Procedure ต่างๆทั้งในยามปรกติและยามฉุกเฉินและอ่าน Emergency Equipmentทั้งหมด
เคยคิดว่าจำได้เยอะแยะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ลืมไปเยอะเหมือนกัน
คิดอีกที ก็ดีที่เราได้เอามานั่งทบทวนไม่งั้นเวลาเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรขึ้น คงโบร๋ววกันถ้วนหน้า
ภาคเช้าพี่อ้อมซึ่งเป็น instructor มาสอนทบทวนสรุปให้เรา
ไม่งั้นพวกเราคงเอ๋อกันได้มากกว่านี้
ขอบคุณพี่อ้อมจริงๆที่ทำให้เราเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น
นั่งมองพี่เค้าสอนแล้วแอบคิดในใจ
พี่เค้าเก่งอ้ะ สอนได้เป็นเรื่องเป็นราว
จำได้ไงหมดไม่รู้ คัมภีร์ safety เล่มเบ้อเร่อ
ตอนบ่ายสอบ safety คะแนนไม่ได้อย่างที่หวังเอาไว้
แต่ก็โอเคหละได้ 98 จาก 100
คนเราไม่มีใครเกิดมาเพอร์เฟ็คท์ทั้งหมด ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว
ส่วน First Aid พี่แอร์มาติวทบทวนให้อีกทีก่อนสอบ
แอบดีใจว่าไอ้ที่เค้าทบทวนน่ะ เราอ่านมาตรงเว้ย
น่าจะอาการไม่หนักมากเท่าไหร่
ปรากฏว่าคะแนนออกมาได้ร้อยเต็ม
ดีใจๆๆ
ตกเย็นสอบเสร็จ นั่งกินข้าวชิลๆกับบีวิชและคุณครู
คิดถึงคุณครูมากมาย
เพราะตั้งแต่มัวแต่ยุ่งกับการเรียนการสอบสามคอร์สติดต่อกัน ไม่ได้เจอคณครูเลย

วันที่สาม - - > Drill
วันที่สามเป็นการฝึกภาคปฏิบัติทั้งหมด
เริ่มจากการไปเทรนและสอบเกี่ยวกับการดับเพลิงที่หน่วยดับเพลิงของสุวรรณภูมิ
ตอนนั่งเทรนอยู่ก็นั่งมองคุณครูไปพลางๆ
คุณครูสอนดับเพลิงเท่มากๆค่ะ ^__^ (แอบหล่อด้วย เอิ้กกก)
เห็นว่าเป็นทหารอากาศ แล้วโดนส่งไปเรียนต่อเรื่องการดับเพลิงบนอากาศยานโดยเฉพาะ
ในเมืองไทยจะมีซักกี่คนที่เก่งและโชคดีขนาดนี้
คุณครูสอนจนจบคอร์ส แล้วก็พาพวกเราไปดับเพลิงกันที่Sim
เพิ่งได้เห็นว่าที่หน่วยของสุวรรณภูมิมีเครื่องบินจำลองไว้ให้เราฝึกการดับเพลิงจริงๆด้วย
เป็น Sim ยี่ห้อ Dragger ซึ่งคนในวงการบินน่าจะรู้จักว่าเป็นยี่ห้อของเครื่อง Protective Breathing Equipment ที่อยู่บนเครื่อง
เค้าจำลองsimเป็นเครื่อง B747 แต่พอเราเห็นเครื่องจำลองที่ว่าแล้ว
อะโห.....ขนาดยังกะเครื่องแอนโทนอฟ Antonov 225
( ใครไม่เคยเห็นเจ้าเครื่อง Antonov นี่ขอบอกว่าคุณโชคดีแล้ว
มันเป็นเครื่องบินของรัสเซียเอาไว้ลำเลียงอากาศยานและขีปนาวุธ
เป็นเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ไม่แน่ใจว่าตอนนี้โดนทำลายสถิติรึยัง แต่น่าจะยังไม่โดนลบสถิติหรอก
เพราะมันใหญ่โตน่ากลัวเหลือเกิน เห็นแล้วนึกถึงปลาวาฬตัวโตๆ)
เม้าท์เรื่อง Antonov มาซะยาว กลับมาเรื่องของการดับเพลิง
พวกเราก็ดับเพลิงกันสนุกสนานดี สอบผ่านกันชิลๆทุกคน
สอบเสร็จ เราก็ต้องไปต่อกันที่ Wet Drill หรือฝึกการลงฉุกเฉินบนน้ำ
วิธีการก็คือเค้าจะสอนให้เราคุ้นเคยกับการใช้ Life Vest
และให้รู้ว่าถ้าเราต้องลงฉุกเฉินบนน้ำ เราจะต้องทำอะไร หรือต้องไม่ทำอะไรบ้าง
โชคดีที่เคยฝึกมาหนักหน่วงมากสมัยอยู่เอเชียน่า เลยผ่านตรงนี้มาได้ไม่ลำบากเท่าไหร่
ที่ลำบากคือลงน้ำตอนบ่ายๆ แดดกำลังร้อนจี๋ ขึ้นน้ำมาอีกทีก็แดดร่มลมตกพอดี
คงดำได้มากกว่าเดิมอีกแน่นอน T_T
โชคดีที่ทาครีมกันแดดไว้ ถึงจะดำยังไง ก็คงไม่ไหม้แน่นอน
การฝึกอย่างสุดท้ายคือการฝึกบนเครื่องจริงๆ
ทั้งการเปิดปิดประตูใน Normal Procedure และ Emergency Procedure
การโดดสไลด์ ทั้งแบบลงไปคนเดียว และการช่วยเหลือผู้อื่น
Brush up เกี่ยวกับ Overwing Exit ทั้งการบรีฟผู้โดยสารและวิธีการเปิด Overwing Exit
ได้เข้า Cockpit ไปเรียนรู้ระบบ Oxygen และเรียนเกี่ยวกับ Pilot Incapacitation
ที่ประทับใจคือได้นั่งที่นั่งนักบิน เพื่อเรียนการเปิดปิด Cockpit Sliding Window ด้วย
เฮ้อ ! ชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้ไปนั่งตรงนั้นกับเค้าหรอก
แค่นั่งนานทีปีหนก็พอใจแล้ว

Sunday, April 06, 2008

Be with Genting !!!

1 APR 08

ได้เวลาอาบน้ำแต่งตัว
ก็รีบๆอาบน้ำแต่งตัว ลงไปกินข้าวข้างล่าง เพราะนัดกับชาวคณะคนอื่นๆไว้ว่าล้อหมุนเจ็ดโมงเช้า
คณะของเรามี พี่ปอนด์ พี่วัฒน์ (แฟนพี่ปอนด์) ว่าน บีวิช และเรา รวมเป็นห้าคน
แนะนำให้บีวิชกับว่านรู้จักกัน ไปๆมาๆกลับกลายเป็นเพื่อนของเพื่อนที่เอแบคกันซะงั้น
งงเรยย !!!

เชื่อแล้วว่าเอแบคมันแคบ แล้วโลกก้อกลมจริงๆ ไม่อยากจะเม้าท์เล้ย
ขนาดเรื่องของพี่สาวคนสวยของแมวยักษ์ ยังอุตส่าห์มีรุ่นพี่ของเราที่แอร์เอเชียเค้ารู้จัก
พี่จี้ก้อรู้จักนะ อิอิ

เอ้า ไม่นินทาคนอื่น ถึงจะแอบนินทาเค้าเฉยๆ อ่านอยู่คนเดียวในบล็อคก้อเหอะ

มาว่าด้วยเรื่องเก็นติ้งกันต่อดีกว่า
จากโรงแรมที่เราพักไปถึงเก็นติ้ง ใช้เวลาเดินทางทุลักทุเลพอสมควรทีเดียว
เริ่มจากนั่งรถของโรงแรมไปที่ KLIA หรือแอร์พอร์ทของเมือง KL
แล้วก้อต่อรถ KL Transit ไปลงสุดสายที่ KL Sentral (เขียนไม่ผิดหรอก มันเขียนกันแบบนี้จริงๆ)
ไอ้ KL Sentral นี่มันก็เหมือนกับศูนย์กลางการคมนาคม รถราต่างๆจะต้องมาจอดตรงนี้หมด
คล้ายๆกับหมอชิต หรือว่าอนุสาวรีย์ชัยฯที่บ้านเรา
จะเดินทางไปไหนในเมือง KL ไม่พ้นต้องไปเริ่มต้นที่ KL Sentral
เราขึ้นรถของ Genting รอบเก้าโมง กว่าจะไปถึงเก็นติ้งก้อปาเข้าไปเกือบสิบโมง
ยัง ยังไปไม่ถึงหรอกนะ ต้องนั่งกระเช้าเคเบิ้ลคาร์ต่อขึ้นไปอีก

กว่าจะไปถึงเก็นติ้งจริงๆก็ร่วมสิบโมงครึ่ง

บน Genting- High Land มันสวยและอากาศดีจริงๆ
มีโรงแรม ตั้งห้าโรงแรม แต่ละแห่งก็มีความหรูหรา สะดวกสบายต่างๆกันไปตามราคา
มีร้านรวง และคาสิโนมากมาย เอาไว้ดูดเงินนักท่องเที่ยว
คาสิโนเหล่านี้เปิดแบบไม่มีวันหยุดกันเลย คาดว่าคงทำเงินให้เจ้าของได้ไม่น้อย
เค้าว่าไปเก็นติ้ง ถ้าไม่เล่นการพนันก้อเหมือนมาไม่ถึง
แต่ว่าเรายอมมาไม่ถึงเก็นติ้ง เพราะไม่อยากแหย่เท้าเข้าไปหาสถานที่อโคจรเหล่านี้
เอาเป็นว่าเล่นสวนสนุกกันไปขำๆแล้วกัน

ก็แยกย้ายกันไป พี่วัฒน์ไปกับพี่ปอนด์
บีวิชเกาะอยู่กับเรา ถ่ายรูปกันไปสนุกสนาน
ส่วนว่าน ชอบเครื่องเล่นหวาดเสียว เชิญมันไปเสียวคนเดียวเรย เราไม่เอาด้วย
ว่านมันก็เซลฟ์มาก มันไปของมันคนเดียว เก่งจริงๆ

เราถ่ายรูป เล่นอะไรขำๆกับบอยู่ไม่นาน ก็เบื่อ เลยเดินไปที่พลาซ่าของโรงแรมบนเก็นติ้ง
ก็ได้ทานมื้อเที่ยงกันที่นั่นแหละ
ร้นอาหารบนเก็นติ้งไม่ได้แพงโหดร้ายแบบที่เราคาดการณ์ไว้แต่แรก
ราคาก้อประมาณร้านอาหารบนห้างทั่วๆไป
นอกนั้นร้านรวงบนพลาซ่าก็เหมือนห้างขนาดย่อม
มีเสื้อผ้า ของมีราคาต่างๆขาย อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวทุกประการ
นัดเจอกันกับชาวคณะเวลาบ่ายสองกว่า ได้เวลาลงเคเบิ้ลคาร์ ไปขึ้นรถกลับพอดี
บางคนอาจจะว่าเราใช้เวลาบนเก็นติ้งไม่คุ้มค่า
ไหนๆก็ไปแล้ว ทำไมไม่อยู่นานๆ ให้คุ้ม
เรากลับคิดว่า ไปให้เห็น สัมผัสให้รู้ แค่นี้ก็พอแล้ว จะเอาอะไรนักหนา

นั่งรถกลับมาทุกคนหลับเป็นตาย

จาก KL Sentral เราตกลงกันว่าจะนั่งรถไปที่ตึก KLCC หรือที่เค้าเรียกกันว่า Twin Tower
คนส่วนใหญ่บนโลกนี้เคาเรียกสถานที่นี้ว่าตึกเปโตรนาส
ตึกที่สูงเป็นอันดับสองของโลกไง

มันสูงจริงๆค่ะคุณขา

มองจากพื้น ยังไงก็มองไม่เห็นยอดตึก
เห็นแล้วก้ออดทึ่งในความสามารถของคนสร้างตึกไม่ได้
มนุษย์เรานี่เก่งเนอะ ทำได้ทุกอย่าง

เราขึ้นยอดตึกไม่ได้ เพราะบัตรชมตึกสำหรับวันนั้นหมดเกลี้ยง
เค้าจำเป็นต้องจำกัดจำนวนคนที่ขึ้นตึก เพราะไม่งั้นมันจะชำรุดก่อนเวลาอันควร
นับว่ามาตรการเค้าก็เข้มงวดดี

ไม่ว่าอะไร แค่ไม่ด้อมๆมองๆก็มีความสุขแล้วหละ

เราเดินเล่นกันที่ห้าง KLCC ขั้นล่างของตึกเปโตรนาส
ข้าวของร้านรวงก้อสวยงามดูดี มองๆไปก็คล้ายๆกับพารากอน
ไม่ได้ซื้ออะไรมากมาย เพราะตั้งใจว่า เดี๋ยววันพรุ่งนี้จะเป็นวันช้อปปิ้งของจริง

นั่งรถบัสมาลง LCCT (Low Cost Carrier Terminal) ค่ารถถูกกว่านั่ง KL Transit สามเท่า
แต่มันไม่หรูหรา และใช้เวลานานกว่า เหนื่อยกว่าด้วย
เอาน่า เที่ยวแบบสวยๆกันมาเยอะแล้ว
พาบีเที่ยวแบบหัวหกก้นขวิดดูบ้าง


.............


2 APR 08



วันนี้ตื่นขึ้นมาแต่เช้า ลากบีขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว
ลงไปกินมื้อเช้ากันอย่างรีบๆ เพราะมีเวลาไม่มาก เดี๋ยวตอนเย็นต้องส่งบีกลับบ้านแล้ว
ข้างล่างเจอพวกพี่ๆลูกเรือกับพี่ๆนักบินนั่งทานข้าวกันอยู่เป็นกลุ่ม
เราพาบีนั่งแยกออกมา เพราะรู้ว่าบีคงไม่สะดวก ถ้าจะนั่งคุยกันกับกลุ่มแอร์เอเชีย
รู้สึกเกรงใจพี่ๆกัปตันเค้าเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะทำไงอ้ะ

ได้เวลาล้อหมุน นั่งรถบัสจาก LCCT ไปต่อ Komuter ที่ KL Sentral
ป้ายเดียวก็ถึง Mid Valley แล้วหละ
Mid Valley เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ยักษ์
ถ้าจำไม่ผิด ใหญ่ที่สุดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยหละ
คนแถวๆนี้เค้าเรียกกันอีกชื่อนึงว่า Mega Mall คงเป็นเพราะมันใหญ่โตอลังการจริงๆ
เรามาที่ Mid Valley หลายครั้งแล้ว ยังเดินไม่ทั่วซะที
คาดว่าถ้าจะใช้เวลาเดินกันจริงๆจังๆ สามวันน่าจะเดินทั่ว

วันนี้เป็นวันแห่งการช้อปปิ้ง
ดังนั้น เราจึงช้อป ช้อป และช้อปกันลืมตายมากๆ
รองเท้า กระป๋า เครื่องสำอางกระจุกกระจิกตามประสาผู้หญิง
แล้วก้อของฝากมากมาย
ช้อปกันหมดตูดเลยทีเดียว

.............


ตกเย็น ช้อปปิ้งกันจนหนำใจแล้ว นั่งรถกลับกันอย่างทุลักทุเล
รีบมากมายเพราะกลัวบีตกเครื่อง
แถมบีเองก็เดินไม่สะดวกแล้ว บีบ่นเจ็บขาเพราะเดินเยอะ
บีเองคงไม่คุ้นกับการทำอะไรลำบากๆแบบนี้ เราเลยแอบรู้สึกผิดที่พาบีมาลำบาก
ขอโทษนะ บีวิช
เราทำให้บีได้ดีที่สุดแค่นี้แหละ

มาถึง LCCT เรารอรถโรงแรมกันนานมาก
บีเลยออกแนวหงุดหงิดเล็กน้อย

.............

บีกลับไปแล้ว
เมื่อคืนนั่งรถกลับมาโรงแรมอย่างเหงาๆ
รู้สึกผิดเล็กน้อยที่พาบีมาเที่ยว KL ทั้งที แต่ต้องทำให้บีลำบากหลายเรื่อง
เรารู้ว่าบีไม่ค่อยลำบากขนาดนี้หรอก บางทีอาจจะต้องปรับตัวมากหน่อย
ไม่รู้ว่ามาคราวนี้แล้วบีจะรู้สึกดีมากน้อยแค่ไหน
เราน่ะ ลำบากมาซะชิน แต่บีไม่ค่อยเจออะไรแบบนี้ บางทีอาจจะทำให้บีหงุดหงิดใจไปบ้าง
ขอโทษนะ บีวิช


to be continue....

ว่างเมื่อไหร่ จะแวะมาแปะรูปมากมาย

SNY on A 320

29 MAR 08


วันนี้ไป SNY เครื่อง A320 วันแรก
ไม่ได้ตื่นเต้นอย่างที่ใครๆเค้าตื่นเต้นกัน ไม่กลัวโดนคนมาเลย์จิกด้วย
คงเป็นเพราะตอนที่ทำงานที่เอเชียน่า เราโดนคนเกาหลีจิกมาซะจนชิน
ก็เลยรู้สึกเฉยๆกับความบ้าอำนาจของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น"รุ่นพี่"บนไฟลท์
คำว่า "ซอนแบนิม" มันโหดกว่าคำว่า "รุ่นพี่" หรือ "Senior"
ใครไม่เชื่อลองไปร่วมงานกับคนเกาหลี แค่อาทิตย์เดียวก็ขี้คร้านจะจำจนวันตาย

หัวหน้าลูกเรือให้เราเลือกตำแหน่งการทำงาน ว่าอยากทำงานในตำแหน่งอะไร
เราเลยเลือกเป็น P2 เพราะนั่ง stationเดียวกันกับ CR2 สมัยที่เราอยู่เอเชียน่า
คิดเอาเองว่าเริ่มจากอะไรๆที่ตัวเองคุ้นเคยก่อนคงดี
แล้วมันก็ง่ายจริงๆ
งานวันนี้ราบรื่น แสนสบาย ผู้โดยสารก็น้อย ไฟลท์ก็ง่ายๆ
ลงเครื่องมาตั้งแต่ยังไม่ทันเที่ยง
แต่......

เราเรียกรถโรงแรมมารับไม่ได้ ต้องรอเพื่อนให้มาพร้อมๆกัน
เอ้า ! รอก็รอ
พอทุกคนมากันครบ กลับกลายเป็นว่าระบบโทรศัพท์ล่ม โทรไปไหนไม่ได้ซะงั้น
เราเลยต้อแกร่วรออยู่ที่แอร์พอร์ตจนสามโมงครึ่ง
กว่าจะมาถึงโรงแรม ก็สี่โมงเย็นพอดี

เหนื่อยรอรถนี่แหละ ไม่ได้เหนื่อยทำงาน
-_-'
พรุ่งนี้จะเป็นยังไงบ้างยังไม่รู้เลย


...........


ตอนนี้ที่ที่เราอยู่ฝนตกหนัก ทั้งๆที่อากาศร้อนอบอ้าวมาทั้งวัน
อากาศข้างนอกร้อน แต่ข้างในโรงแรมเย็นเฉียบ ปรับแอร์ก็ไม่ได้
ตอนนี้เลยรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายๆจะเป็นไข้
ได้แต่กินยาแล้วก็นอนหงอยๆคนเดียว

อีกสองวันบีก็จะมาแล้ว
อยากเจอบีเร็วๆ จะได้ไปเที่ยว ไม่ต้องเหงาอยู่แบบนี้

คืนนี้จะลองไม่โทรหาเธอ
ถ้าเธอไม่โทรมา หรือไม่ส่งข้อความมา ก็คงไม่ได้คุยกัน

คิดถึงนะ
แต่...ขอรอโทรศัพท์เธอดีกว่า


...........


30 MAR 08


วันนี้ เราต้องไปบินสี่ไฟลท์ KBR-DPS แต่พอถึงเวลาบินจริงๆเรากลับโดนออฟโหลดลงมาซะงั้น
เพราะไฟลท์ที่จะไป DPS เต็ม ไม่มีที่นั่งให้ลูกเรือ SNY อย่างเรา
ลงเครื่องมาตั้งแต่ 9.45 บินขำๆอีกแล้ว
ลงมาไม่มี de-briefing เพราะลูกเรือทั้งทีมเค้าเปลี่ยนไปบินไฟลท์อื่นกันหมด กับโรงแรมได้เลย
เจอกับพี่ปอนด์ ที่เพิ่งโดนออฟโหลดลงมาเหมือนกัน อารมณ์นั้นคือ เราควรจะทำอะไรซักอย่างมั๊ย
เพราะนี่มันก้อยังเช้าอยู่อะนะ มองตากันกับพี่ปอนด์ ราวกับรู้ใจกันดี
ถึงโรงแรมปั๊บ เปลี่ยนชุดปุ๊บ ทั้งเรา พี่ปอนด์ (และพี่วัฒน์)ก็พุ่งออกไปเที่ยวกันทันที
เราตกลงกันว่าจะเดินเล่นกันที่บูกิต บินตัง เป็นแหล่งช้อปปิ้งของวัยรุ่นมาเลย์
ลักษณะคล้ายๆกับสยาม มาบุญครอง โบนันซ่าบ้านเรา

นั่งรถ KL Transit ไปต่อแท็กซี่จ่ายเงินค่าแท็กซี่ไป 11 RM ก็ไปถึงบูกิต บินตังกันเรียบร้อย
เราตัดสินใจแยกตัวออกมาเลย ปล่อยให้พี่ปอนด์กับพี่วัฒน์เดินกันหนุงหนิงสองคน
เราไม่รู้จะทำอะไรดี เลยตัดสินใจไปตัดผมดีกว่า เพราะตอนนี้ผมม้ามันก็ยาวทิ่มตาเป็นม้าพยศ
เลือกร้านที่หน้าตาใช้ได้ ลองตัดดู ปรากฏว่าวิธีการสระผมของที่มาเลย์พิสดารมาก
คือเค้าสระผมให้เราแบบแห้งๆ ใช้น้ำนิดเดียว แล้วค่อยเดินไปล้างที่อ่าง
เราเห็นเค้าสระ ก็งงๆ อยู่ แต่ไม่รู้จะทำไงได้
ตัดผมออกมาหน้าตาเหมือนเดิม แต่ผมม้าหนาขึ้นกว่าเดิม แบ๊วกว่าเดิมอีก ไม่รู้จะทำไง
ชั้นไม่ได้อยากจะแอ๊บแบ๊วนะ แต่คุยกับไอ้ช่างทำผมไม่รู้เรื่องต่างหาก -_-‘

ตัดผมเสร็จ เดินโฉบไปแถวๆร้าน VNC กับ nose ก็ได้รองเท้ากับกระเป๋ามาตามเคย
ประเทศนี้มันมีดีอยู่แค่รองเท้ากับกระเป๋าจริงๆ
ได้รองเท้า กระเป๋าลดราคามา ค่อยสบายใจ ได้เวลานัดกันกับพี่ปอนด์และพี่วัฒน์พอดี
กลับโรงแรมได้แระ
ขึ้นรถโมโนเรลไปต่อรถที่ KL sentral ก่อนขึ้นรถไฟกลับ เราแวะซื้อตั๋วไปเที่ยวเก็นติ้งเอาไว้
ค่าตั๋วก็โอเค ไม่แพงมาก เป็นแพ็คเกจรวมค่ารถ ค่าเคเบิลคาร์ และค่าสวนสนุก แค่ 42 RM


...........


31 MAR 08



วันนี้บินขำๆอีกแล้ว
ไป MYY ลงไฟลท์มาตั้งแต่เที่ยง ลูกเรือมาเลย์กลัวเราหัวเครื่องยันท้ายเครื่องเหมือนเดิม
แอบได้ยินเค้าเม้าท์กันว่า เค้ารู้สึกว่าเราท่าทางเนี้ยบยังกับเป็น SFA หรือ IFS
ฟังแล้วก็ได้แต่ปลง
ใครจะรู้มั่งว่าที่จริงเราโบร๋วขนาดไหน
บินๆไป ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเค้าหรอกนะ ^_^’

ลงมาพร้อมกับพี่แพน กลับโรงแรมพร้อมกัน
แล้วก็นัดกันมานั่งปาร์ตี้มาม่ากันสองคน กินมาม่ากันขำๆเพราะฝนตก เลยขี้เกียจออกไปไหน
วันนี้ลูกเรือไทยขอ MC (แปลว่าลาป่วย)กันเยอะเลย คงเป็นเพราะเป็นวันสุดท้ายของเดือน
ก็รักษาสิทธิซะหน่อย เอาให้คุ้ม เพราะเค้าให้ป่วยได้เดือนละวัน
พอบ่ายแก่ๆก็มีเม่ยมานั่งคุยด้วย เม่นนี่ก็ MC มาเหมือนกัน
เม้าท์กันสามคนเรื่องสัพเพเหระตามประสาเพื่อนสาวจะคุยกันได้

พอได้เวลาก็นั่งรถไปรับบีที่แอร์พอร์ท

ดีใจนะที่เจอบี เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเหงาคนเดียวอีกแล้ว