Good Morning Vietnam !!!!!!
เพิ่งกลับมาจากไฟลท์เวียดนามค่ะ อันที่จริงฉันเองก็เคยไปบินเวียดนามหลายครั้งแล้วทั้งที่ฮานอยและไซ่ง่อน แต่ถ้าไปฮานอยก็จะไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหน เพราะมีเวลา Lay-over แค่วันเดียว แถมยังรู้มาด้วยว่าที่ฮานอยไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ ก็เลยไปบินด้วยความรู้สึกว่าอยากไปพักผ่อน นอนกอดเปอร์เดียมเสียมากกว่า
มาคราวนี้ บังเอิญได้ไปอ่านเจอในหนังสือสุดสัปดาห์เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฮานอย เห็นแล้วก็เลยเกิดความรู้สึกว่า เออหนอ เราเองก็มาตั้งหลายครั้งแล้ว ไปเดินเที่ยวดูสักทีก็ดี อย่างน้อยจะได้ไม่เสียชาติเกิด ว่าเคยมาเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง
ที่ฮานอยเราพักกันที่โรงแรม Hanoi Daewoo ค่ะ ห้องพักหน้าตาสวยงามแบบนี้

เช้าขึ้นมามีอาหารเช้าบริการให้ลูกเรือด้วย

อิ่มจังตังค์อยู่ครบค่ะ งานนี้ รับประทานไปสองจาน พุงหนักอึ้งเลย

มีทั้งแบบอาหารคาว และเบเกอรี่เบาๆ

เริ่มเที่ยวกันเลยดีกว่า
อันที่จริงทางโรงแรมมีรถshuttle bus ไว้บริการแขกที่มาพักด้วย แต่ฉันขี้เกียจรอรถ 2-3ชั่วโมงกว่าจะมาสักคันหนึ่ง ก็เลยตัดสินใจเรียกแท็กซี่ของทางโรงแรมไป คิดในใจว่า เอาไงเอากัน รถของโรงแรมน่าตาทันสมัย สะดวกสบายพอใช้ได้ เรียกจากโรงแรมไปโบสถ์ก็ราคาประมาณ 3 $ ค่ะ
โบสถ์ที่เป็นในภาพชื่อว่าโบสถ์ St.Joseph Cathedral สร้างขึ้นเมื่อปี 1886 สมัยฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเมืองเวียดนามค่ะ ถ้ามองแค่ลักษณะตัวโบสถ์ ก็จะเห็นว่าสวยงามเก๋ไก๋ไม่แพ้โบสถ์เก่าในยุโรปเลย เดินชมโดยรอบจะเห็นลายปูนปั้นแบบยุโรปโบราณ สวยเกินคำบรรยาย น่าเสียดายนิดเดียวตรงที่ทางการเวียดนามไม่ค่อยได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร บริเวณโดยรอบจึงเป็นตึกรามบ้านช่อง และวินมอเตอร์ไซด์เต็มไปหมด

ลืมเล่าไปค่ะ ที่ประเทศเวียดนามนี้ มียานพาหนะที่เป็นที่นิยมอย่างมากของชาวเมือง นั่นคือรถมอเตอร์ไซด์ ซึ่งขับกันได้ฉวัดเฉวียนน่ากลัวมากๆ ไปครั้งแรกๆก็กลัวอยู่เหมือนกันเวลาข้ามถนน ไม่กล้าเดินเอาเลยทีเดียว แต่หลังๆก็ชักสนุก อาศัยเดินตามชาวเมืองเขาไป คิดว่ายังไงก็น่าจะปลอดภัยกว่าเดินคนเดียว แต่ไม่ต้องห่วงสำหรับมือใหม่ค่ะ ข้ามไปเถอะ เดี๋ยวชาวญวนนักบิดก็จะหลบเราเอง
ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับโบสถ์เซ็นต์ยอแซฟเลยค่ะ ภาพที่เราเห็นจนคุ้นตาในเมืองฮานอยคือภาพของสิ่งปลูกสร้างสองสัญชาติ ทั้งแบบจีน และแบบฝรั่งเศสตั้งอยู่ปะปนกันทั่วเมือง แสดงให้เห็นถึงอารยธรรมของชนชาติที่เข้าปกครองเมืองเวียดมาแต่ครั้งโบราณ
คิดไปก็น่าเศร้าใจนะคะ ไม่ว่าจะสมัยไหน ผู้ที่มีอำนาจแข็งแรงกว่าก็ย่อมเข้าแสดงตนปกครอง และกอบโกยผลประโยชน์จากผู้ที่มีอำนาจด้อยกว่าเสมอ

ตามตรอกซอยล้อมรอบโบสถ์เซ็นต์ยอแซฟมีร้านขายของที่ระลึก และร้านแกลอรี่เก๋ตั้งอยู่เต็มไปหมด ถ้าใครชอบอาร์ต สตรีทหรือชมแกลอรี่แบบฮิปๆ ที่นี่อาจเป็นสถานที่ที่คุณโปรดปราน แต่ต้องใช้เวลากับมันนิดนึงนะคะเพราะร้านเก๋ๆที่ว่า มักอยู่ปะปนไปกับร้านรวงแบบท้องถิ่น (ภาษาเด็กแนวเขาเรียกว่าร้านบ้านๆนั่นแหละ) น่าเสียดายที่ไม่สามารถเก็บรูปเก๋ๆมาฝากกันได้ เพราะแกลอรี่สวยๆส่วนใหญ่มักจัดไฟสลัวๆ พอถ่ายรูปออกมาก็มืดสนิท
สิบปากวาไม่เท่าตาเห็น มีโอกาสเมื่อไหร่อยากพาคนที่เมืองไทยมาเที่ยวด้วยกันจังเลยค่ะ

จากโบสถ์เซ็นต์ยอแซฟ ถ้าเราเดินลัดเลาะมาเรื่อยๆพอเหงื่อซึมเราจะพบกับทะเลสาบกลางเมืองขนาดย่อม ที่นี่เป็นศูนย์กลางของเมืองฮานอยเชียวนะคะ ทั้งที่ทำการไปรษณีย์ ร้านค้า ย่านธุรกิจ ล้วนแต่ล้อมรอบทะเลสาบแห่งนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
แทบไม่น่าเชื่อว่ารอบทะเลสาบแห่งนี้จะมีร้านแบรนด์เนมดังๆตั้งอยู่ปะปนกับร้านบ้านๆด้วยค่ะ ล็อคซิตาญ ลองชอม ชิเซโด คลีนิกข์ ฯลฯ ล้วนเป็นช็อปขนาดใหญ่ตั้งไว้ดูดเงินผู้มาเยือน เท่าที่นลองเดินสำรวจดู ลูกค้าส่วนใหญ่ในร้านมักเป็นนักท่องเที่ยวค่ะ คนท้องถิ่นไม่ค่อยซื้อของพวกนี้กันเท่าไหร่
เดินจนเหนื่อยก็แวะพักกินไอศครีม ร้านนี้ชื่อว่าร้าน Fanny Glace Francaises หรือร้านแฟนนี่ ไอศครีม สไตล์ฝรั่งเศสค่ะ ไอศครีมที่เลือกคือรสสตรอเบอรี่ เชอร์เบท ราคา10,000ดอง หรือประมาณ 30 กว่าบาทนับว่าราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับค่าเงินบ้านเรา เท่าที่สำรวจด้วยตา ร้านนี้เป็นร้านไอศครีมที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ลักษณะการตกแต่งร้านเขาน่ารักดีจัง

อิ่มแล้วก็เดินย่ำต๊อกกันต่อ
ทะเลสาบกลางเมืองนี้ชื่อว่าทะเลสาบHoan Kiem ชาวเมืองเรียกโฮฮวานเกี๋ยมแปลว่าทะเลสาบคืนดาบ ตำนานเล่าว่าพระเจ้าไทโต๋ หรือ Ly Thai to ผู้ขับไล่ชาวมองโกลออกไปจากอาณาจักรเวียดได้รับดาบศักดิ์สิทธิ์มา เมื่อชนะศึกก็ได้เอาดาบจุ่มลงที่ทะเลสาบแห่งนี้ แล้วก็มีเต่าวิเศษว่ายน้ำมารับดาบคืนไปจากพระองค์
จากนั้นเป็นต้นมาชาวเมืองก็ไม่กล้าจับเต่าในทะเลสาบแห่งนี้อีกเลย (สงสัยเกรงว่าจะไปจับเอาเต่าวิเศษเข้า -_-')
ภาพนี้คือThap Rua (Tortoise Pagoda) หรือเจดีย์เต่าที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบโฮ ฮวานเกี๋ยม กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองไปเลย

มองไกลๆนั่นคือวัดหง็อกเซินค่ะ ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบ

อย่างที่เล่าไปแล้ว ที่เมืองฮานอยนี้มีสิ่งปลูกสร้างแบบจีนอยู่ทั่วเมืองไปหมด

ป้ายต่างๆในเมืองนี้จะมีสามภาษาค่ะ ทั้งภาษาเวียดนาม ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษ แสดงให้เห็นว่ารากที่ชาวฝรั่งเศสทิ้งไว้ ยังคงมีอยู่ แม้ชาวเวียดสมัยใหม่จะไม่พูดภาษาฝรั่งเศสกันแล้วก็ตาม

ที่นี่มีป้ายประเภท"กู้ชาติ"กันเต็มไปหมด ไม่รู้จะกู้กันไปถึงไหน

นี่ก็กู้ชาติอีกเหมือนกัน

เอ้า ! กู้ชาติกันเข้าไป สหายเวียดกง -_-'
รูปด้านล่างนี้คือ อนุสาวรีย์กรรมาชีพค่ะ แสดงให้เห็นถึงอดีตของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ฉันเองก็จำไม่ได้เสียแล้วว่าปัจจุบันเวียดนามปกครองด้วยระบอบการปกครองแบบไหน และมีพรรคการเมืองแบบไหนคุมประเทศอยู่ คิดว่าคงไม่ใช่พรรค เวียดรักเวียดหรอกนะ

แล้วเราก็แวะไปรษณีย์เพื่อส่งโปสการ์ด ไดอารี่ตามปรกติที่เคยทำเวลาบินไปที่ไหนก็ตาม อาคารที่ทำการไปรษณีย์ของเขาใหญ่โตโอ่อ่า ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เข้าใจเอาเองว่าคงไม่ใช่มรดกฝรั่งเศสหรอกค่ะ เพราะเท่าที่ดูลักษณะของตึกนี้ คงสร้างมาเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง

ที่ไปรษณีย์ ฉันได้พบกับเพื่อนใหม่ค่ะ เธอชื่อน้องนาย เป็นสาวชาวไทย หน้าหวาน ผิวสีน้ำผึ้ง น้องนายเรียนอยู่ปี 3 มหาวิทยาลัยเอแบค เห็นเด็กๆอย่างนี้ไม่อยากเชื่อเลยว่าเคยแบ็คแพ็คมาเวียดนามหลายครั้งแล้ว ทั้งฮานอย ฮอยอัน เว้ ดานัง ไซ่ง่อน น้องนายเที่ยวมาจนปรุ ฟังน้องนายเล่าแล้วอ้าปากค้างเลยค่ะ เด็กอะไรเก่งจริงๆ ช่างไม่กลัวอันตรายอะไรเอาเลย

อนุสาวรีย์พระเจ้าไทโต๋ค่ะ ตั้งอยู่ข้างๆกับที่ทำการไปรษณีย์กลาง เป็นสิ่งปลูกสร้างแห่งใหม่ที่ทางการเวียดนามสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ วันที่เป็นเป็นวันกลางสัปดาห์จึงมีนักท่องเที่ยวประปราย

จากนั้นเราก็เดินไปที่สะพาน The Huc หรือที่ชาวเมืองออกเสียงว่าเทฮุก หมายถึงสะพานแห่งแสงตะวัน สะพานที่ว่าทอดยาวข้ามทะเลสาบโฮ ฮวานเกี๋ยมไปยังเกาะกลางทะเลสาบ ที่ตั้งของวัดหง็อกเซินค่ะ

นี่แหละค่ะ สะพานเทฮุก

ทางเข้าวัดหง็อกเซินค่ะ จ่ายค่าเข้าก่อนคนละประมาณ 3,000 ดอง หรือประมาณ 10 บาทเท่านั้น

วัดหง็อกเซิน ( Ngoc Son Temple) หรือวัดเนินหยก เป็นวัดแบบพุทธศาสนานิกายมหายาน สังเกตได้จากรูปเคารพเทพเจ้าจีนต่างๆที่ตั้งอยู่ภายในวัด สร้างขึ้นตั้งแต่ประมาณปี 1225 และได้รับการบูรณะอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 19

นี่แหละค่ะซากเต่าจากทะเลสาบโฮ ฮวานเกี๋ยม เห็นแล้วเชื่อจริงๆว่าชาวเมืองนี้ไม่กล้าจับเต่า เพราะเต่าที่สต๊าฟอยู่ตัวใหญ่มาก ได้ยินเขาเล่ากันว่าอันที่จริงมีตัวใหญ่กว่านี้อีก แต่ไม่มีใครพบซากเลยไม่มีมาสต๊าฟโชวค่ะ

อีกมุมหนึ่งของวัดหง็อกเซิน

ใกล้ๆกับวัดหง็อกเซินมีโรงละครหุ่นน้ำด้วยค่ะ อันละครหุ่นน้ำหรือ water puppet หรือที่ชาวเมืองเรียกภาษาถิ่นว่าหมัวหรอยนึก นับเป็นการแสดงไฮไลท์ของเมืองเวียดนาม แขกไปใครมาต้องมาชมให้ได้ เสียดายว่าเป็นการแสดงตอนกลางคืนฉันเลยไม่มีโอกาสได้มาชมจริงๆสักที ได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสได้มาชมสักครั้ง

ก่อนบินกลับก็รับประทานroom service เสียหน่อย ที่นี่ลูกเรือได้ลดราคา 20%ค่ะ ต้องกินให้เต็มๆท้องเพราะไม่รู้ว่าบนเครื่องจะมีอะไรมาให้กิน ถ้าเจอเนื้อวัวคงต้องอด
มื้อนี้สั่งข้าวผัดหยางโจว และซีซาร์สลัดค่ะ

หน้าตาสวยงามน่ากินมาก

ได้เวลาบินกลับเกาหลีซะที

รู้มานานแล้วว่าตอนนี้บริษัทกำลังประสบกับปัญหาสถานการณ์ลูกเรือไม่พอ แต่ไม่เคยคิดว่าจะเข้าขั้นวิกฤติขนาดนี้ ขากลับบินเครื่อง B 777ค่ะ แต่มีลูกเรือทำงานแค่ 9 ชีวิตรวมผู้จัดการไฟลท์ โชคดีที่ผู้โดยสารไม่เต็ม แค่ 150 กว่าคนเท่านั้น แถมเป็นไฟลท์ดึก ก็เลยบินกันสบายๆ ไม่เหนื่อยมาก
จะได้เวลากลับเมืองไทยแล้วค่ะ จากบ้านมาคราวนี้แพทเทิร์นยาวนาน คิดถึงเมืองไทยที่สุดเลย
ผู้หญิงข้าง ๆ เธอนั่นใครอ่ะ
ReplyDeleteเขียนบอกไปแล้วไปอ่านเอาเอง
ReplyDeleteอยากไปเที่ยวเวียดนามจัง แอร์เอเชียสี่พันก็มี วันหลังเราไปเที่ยวกันแมะ
พาน้องเพื่อนไปด้วย
นี่แกประสงค์สิ่งใดถึงบังคับขู่เข็ญชั้นเข้าblogนักหนาฟะ เข้ามา แล้วไงอะ
ReplyDeleteชั้นอยากให้มาดูเพราะจะชวนไปเที่ยวแบ็คเพ็คด้วยกันเฟ้น
ReplyDeleteอยากมาแมะ