ทริปนี้เป็นทริปที่หม่าม้าน้องโชวนไป โดยใช้บริการของโครงการครอบครัวสุขสันต์กับขสมก.
จัดเป็นกิจกรรมไหว้พระ 9 วัด ในจังหวัดต่างๆ
ราคาก็เรียกได้ว่าคุ้มเกินคุ้ม เพราะจ่ายแค่คนละ 339 บาทเท่านั้น
รายละเอียดเพิ่มเติมต้องดูที่เว็บนี้ค่ะ
http://www.bmta.co.th/thaiversion/thai_index.htm
ไม่พูดพล่ามทำเพลงเริ่มกันเลยแล้วกันนะคะ
รถออกจากอู่รถบางเขนเวลาประมาณ 8 โมงเศษ นั่งรถไปเรื่อยๆ ชั่วโมงกว่าก็ถึงวัดแรกกันแล้วค่ะ
วัดนี้ใครไม่รู้จักคงเชยมาก วัดอัมพวันค่ะ
โชคดีมากที่ไปถึงตอนเวลาหลวงพ่อจรัญท่านลงมาพอดี
ไม่กล้าถ่ายรูปค่ะ เกรงบารมีสงฆ์ เลยใช้วิธีถ่ายรูปหน้ากุฏิมาแทน

บริเวณวัดร่มรื่นมาก ข้างกุฏิหลวงพ่อจรัญมีต้นสาละด้วยค่ะ

ตำนานเล่ากันว่าถ้าใครอธิฐานขอพรจากต้นสาละแล้วปรบมือดังๆจนดอกสาละร่วงลงมา ให้เอามือรับไว้แล้วคำอธิฐานจะเป็นจริง
ก็เห็นมีคนปรบมือกันเยอะแยะ แต่ไม่มีร่วงลงมาสักดอก
วัดต่อมาคือวัดปรางค์มุนี วัดนี้ชาวทริปได้มีโอกาสทำสังฆทานร่วมกัน แล้วมีคณะสงฆ์มาสวดให้
จุดเด่นอีกประการหนึ่งคือ ที่วัดแห่งนี้ จะมีของแปลกๆเต็มไปหมด
เช่นพ่อช้างน้อย (ที่จริงคือลูกหมูเกิดมาหน้าเหมือนช้างค่ะ)

มักกะลีผล

ตามตำนานเล่าว่ามีขอทานคนหนึ่งมาขออาศัยข้าววัดพร้อมทั้งนอนพักหนึ่งคืน รุ่งขึ้นก่อนออกเดินทางได้มอบกล่องไม้ให้เจ้าอาวาส แล้วสั่งว่าอย่าเปิด ให้มอบต่อยังลูกชายก่อนตาย เมื่อท่านเจ้าอาวาสมรณภาพลงกล่องนั้นจึงตกเป็นของลูกชาย เปิดกล่องดูก็พบมักกะลีผลในกล่องแบบนี้

วัดที่สาม ได้แก่ วัดวัดเสถียรวัฒนดิษฐ์ มีพระพุทธรูป (ยังไม่มีการตั้งนาม)สมัยสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปสำริดผสมทองคำ เดิมมีการโบกปูนหุ้มไว้ เมื่อมีการเคลื่อนย้าย ปูนจึงกระเทาะออกเผยให้เห็นเนื้อในองค์พระ ความพิเศษของพระพุทธรูปองค์นี้คือสามารถเปลี่ยนสีไปได้ตามแสงไฟ ไล่ตั้งแต่สีทองชมพู ไปจนถึงสีเหลืองทอง

ข้างๆพระพุทธรูป มีพระพุทธบาท และตู้พระไตรปิฎกอยู่ด้วย


ต่อไปคือวัดสาลโคดม

หลวงพ่อเศียร เดิมมีผู้ขุดพบเพียงเศียรพระพุทธรูป ต่อมาจึงมีผู้สร้างองค์พระเพิ่มจนเต็ม หลวงพ่อเศียรศักดิ์สิทธ์มากในด้านการซื้อขายที่เดิน เป็นที่ร่ำลือกันมาก
ความพิเศษอีกประการหนึ่งของวัดนี้อยู่ที่องค์พระประธานสามารถเดินลอดข้างใต้โบสถ์ได้ เราก็เลยเดินสามรอบพร้อมทั้งอธิฐานไปด้วย

หน้าอุโบสถ มีแม่น้ำพาดผ่าน ลมแรง อากาศเย็นสบาย

แน่นอนว่าวัดนี้ต้องปลูกต้นสาละเอาไว้รอบๆวัด ตามชื่อวัดนั่นเอง


วัดที่ห้าแล้วนะคะ เรามากันที่วัดประโชติการามค่ะ พระพุทธรูปสำคัญของวันนี้คือพระอัฏฐารส มงคลคู่ อันได้แก่ หลวงพ่อสิน และหลวงพ่อทรัพย์ค่ะ

รูปนี้คือ หลวงพ่อสิน วัดประโชติการามค่ะ
ชาวบ้านที่วัดนี้น่ารักมาก แม้จะเดือดร้อนลำบากจากน้ำท่วม ก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจทำน้ำใบเตยมาตอนรับคณะทัวร์ของเรา
วัดที่หก เป็นวัดที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยค่ะ จำได้แม่นยำเพราะพระพุทธรูปวัดนี้ เป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญองค์หนึ่งในภาคกลาง วัดนี้คือวัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร

พระพุทธรูปองค์สำคัญของวัดนี้คือพระนอนจักรสีห์ สร้างประมาณสมัยอยุธยาตอนต้น

ได้มีโอกาสปิดทองที่องค์พระด้วยค่ะ ปรกติเคยสักการะพระพุทธไสยาสที่วัดโพธิ์ ไม่มีโอกาสได้ปิดทองที่องค์พระเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ปิดทองพระพุทธรูปปางไสยาสน์ค่ะ

เจ๊จอยกำลังต่อคิวยกช้างอยู่ค่ะ

ช้างที่ว่านี่คือช้างทำจากโลหะ (ไม่ทราบว่าใช้วัสดุอะไร) วิธีการยกก็คล้ายกับการยกพระหนักที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ คือตั้งจิตอธิฐาน แล้วยกให้ขึ้น (หรือไม่ขั้น ตามแต่เราจะอธิฐาน) แต่ช้างที่วัดนี้ เขาให้ใช้นิ้วเดียวยกขึ้นมา ผู้ชายใช้นิ้วก้อย ผู้หญิงใช้นิ้วนาง ทดลองยกดู ปรากฎว่าหนักใช้ได้เลยค่ะ ไปลองอธิฐานแล้วยกดู ยังหนัก ยกแทบไม่ขึ้น แต่ในที่สุดก็ยกขึ้น ฮ่าๆๆๆ

และตามธรรมเนียม ไปที่ไหนเราต้องถ่ายรูปป้ายมาเป็นที่ระลึก

วัดที่เจ็ด นั่งรถมาไกลสักหน่อยนะคะ ประมาณ 20 นาที เราก็มาถึง วัดพิกุลทอง ซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่อแพเคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ชื่อหลวงพ่อแพนั้นไม่คุ้นหูเราสักเท่าไหร่ แต่เพิ่งจะรู้เอาทีหลังนั้นเองว่าหลวงพ่อแพท่านเป็นพระชือดังเนื่องจากท่านมรณภาพแล้วสังขารไม่เน่าเปื่อย ทางวัดเลยเก็บรักษาสังขารท่านเอาไว้ให้คนมากราบไหว้บูชา

ที่กุฏิหลวงพ่อแพ มีรูปหล่อจำลองของท่านวางอยู่หน้าโกฐ มีพวงหรีดจากพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ทีเดียวค่ะ
กราบหลวงพ่อแพเสร็จ เราเดินออกมาหน้าวัดเห็นมีชาวบ้านเอาของมาขาย ของที่ขายก็จำพวกของฝากจากจังหวัดสิงห์บุรี เช่น ห่อหมกปลา ปลาเห็ด ปลาแห้งชนิดต่างๆ เรื่อยไปจนถึงขนมถ้วยฟูน้ำตาลสด ข้าวเกรียบว่าว หรือแม้แต่กระจับ อุดหนุนชาวบ้านกันไปตามสมควรเพื่อเป็นการช่วยเหลือ ได้ยินว่าช่วงที่น้ำท่วมหนัก ชาวบ้านบางคนสิ้นเนื้อประดาตัวเอาจริงๆ เพราะเก็บของหนีน้ำไม่ทัน มองในแง่หนึ่ง ชาวบ้านเหล่านี้คือผู้เสียสละ เพราะรัฐปิดกั้นน้ำไม่ให้เข้ามาท่วมในกรุงเทพฯ ชาวบ้านแถบภาคกลางตอนบนเลยเจอน้ำท่วมกันถ้วนหน้า
ขอบอกว่าปลาเห็ดหน้าวัดพิกุลทองอร่อยจริงๆ ปลากรายเหนียว กรอบ ได้ใจ ไม่ผสมถั่วฝักยาวเลยสักนิด ทอดร้อนๆ จิ้มกันคนละหนุบหนับ หมดไม่รู้ตัวค่ะ
ลืมบอกไป ปลาเห็ดคือปลาบดทอดคล้ายทอดมัน แต่ปลาเห็ดจะสับไม่ละเอียดเท่าทอดมัน กินแล้วย่วมใจกว่ากันเยอะเลยค่ะ

ได้ถ่ายรูปกับตู้ไปรษณีย์ยืนยันว่าเรามาถึงถิ่นสิงห์บุรีแล้วจริงๆ น้องหมาดำในรูปมายืนขอทอดมันกินด้วยค่ะ

อา....เหน็ดเหนื่อยกันพอสมควร เราเดินทางมาถึงวัดที่แปดแล้วค่ะ วัดที่แปดคือวัดไชโยวรวิหาร หรือวัดเกตุไชโย

เดินมาทางหลังวัด ติดกับแม่น้ำ มีโบสถ์อยู่หลังหนึ่ง เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อจำลองของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ไม่เคยเห็นองค์จำลองสมเด็จโตที่ใหญ่ขนาดนี้เลยค่ะ

และเช่นเดียวกันกับวัดทุกแห่งที่มีรูปหล่อจำลองของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) มีผู้มีจิตศรัทธาสร้างพระคาถาชินบัญชรถวายเป็นพุทธบูชาด้วย ฉันเลยถือโอกาสสวดพระคาถาชินบัญชรถวายท่าน
วัดเกตุไชโย(เดิมคือสำนักสงฆ์) เป็นสถานที่ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) หรือในขณะนั้นคือเด็กชายโต ได้บรรพชาเป็นสามเณร ต่อมาสมเด็จฯจึงได้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระคุณบิดามารดา วัดนี้จึงได้ชื่อว่าวัดเกตุไชโย

ได้โอกาสถ่ายรูปผู้ร่วมทริปทั้ง 4 คนที่หน้าโบสถ์สมเด็จฯนั้นเอง

เย็นย่ำ ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เราได้แวะสักการะพระพุทธไสยาสน์ที่วัดขุนอินทร์

ตามตำนานเขาว่ากันว่าหลวงพ่อองค์นี้ชอบที่โล่งแจ้ง ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างพระอุโบสถล้อมรอบท่านได้ เพราะทุกครั้งที่มีการสร้าง จะมีเหตุธรรมชาติ ทำให้หลังคาพังลงมาเสมอ จึงต้องปล่องให้หลวงพ่อท่านไสยาสน์กลางแจ้ง ฉะนี้

ตามตำนานของวัด เล่ากันว่าขุนอินทร์เป็นขุนนางสมัยอยุธยา มีศรัทธาจะสร้างวัดในพุทธศาสนา แต่เงินไม่พอ ต้องยักยอกเงินจากท้องพระคลังมาสร้างวัดนี้จนสำเร็จ เมื่อถูกจับได้ ขุนอินทร์ไม่รับสารภาพ จึงถูกลงโทษโดยการโบย 3 ยก ขุนอินทร์จึงสิ้นใจตายก่อนการลงโทษจะสำเร็จ
ต่อมามีการขุดพบโครงกระดูกชายในท่าคุกเข่า มือถูกมัดไพล่หลัง เชื่อกันว่าโครงกระดูกนี้เป็นโครงกระดูกของขุนอินทร์ที่ถูกนำมาฝังไว้ที่วัดนี้เอง
จุดธูปไหว้ขุนอินทร์แล้ว เห็นมีทางขึ้นไปบนซากปรักหักพัง พอเดินขึ้นไป เห็นรูปจำลองของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เราจึงนมัสการท่านอีกครั้ง
สังเกตเอาเองว่าวัดหลายแห่งในจังหวัดสิงห์บุรีมีรูปเคารพของสมเด็จฯ อาจเป็นไปได้ว่าเมืองสิงห์บุรีเป็นเมืองที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จฯท่านอย่างมากก็เป็นได้
ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย

เข้าใจนะว่ามันก็แค่รถเมล์ยูโร 2 เจอได้ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อย่าลืมสิว่าเวลาปรกติเราขึ้นรถเมล์น่ะ ไม่มีใครมาบ้าถ่ายรูปหรอก แหม...ก็แค่อยากจะเก็บไว้ ไม่อยากให้มันศูนย์พันธุ์เหมือนรถเมล์รุ่นสีน้ำเงินเท่านั้นแหละ
ยังจำกันได้ใช่ไหมว่าแต่ก่อนรถเมล์ในกรุงเทพฯเป็นสีขาวคาดแถบน้ำเงิน ไม่ใช่แถบแดงแบบสมัยนี้ แล้วค่าโดยสารน่ะ 2 บาทเอง นั่งได้ยาวตลอดสาย

ถ่ายรูปกับหม่าม้าด้วย อุตส่าห์ชวนเรามาทั้งที

รูปสุดท้ายนี้ถ่ายที่วัดพิกุลทอง ตรงหน้ากุฎิหลวงพ่อแพ เห็นเจ้าดำน้อยนี่น่ารักดี เลยเก็บรูปมาซักหน่อย

ขอบคุณเพื่อนร่วมทางทุกคน ขอบคุณพขร.และพขส.ที่แสนจะเฮฮาบ้าบอกับเราได้ตลอดทั้งทริป ขอบคุณขสมก.ที่จัดทริปดีๆแบบนี้ให้เราได้มีกิจกรรมสร้างสรรค์ในวันหยุด ที่สำคัญขอบคุณหม่าม้า จอย และน้องเมย์ ที่ร่วมอิ่มบุญไปกับเรา
ไหว้พระครบ 9 วัดครั้งแรกในชีวิตเลยนะเนี่ย
เอาบุญมาฝากทุกคนคร้าบบบบ....
เพลงวันนี้เข้ากับบรรยากาศมั่กๆ
อยากทำบุญข้างเธอ...เหลือเกิน
No comments:
Post a Comment