Thursday, December 14, 2006

หน้ามืดและจิตหงุด

ตามหัวข้อเลย

เพิ่งสังเกตอาการตัวเองเอาไม่กี่วันมานี้เองว่ามีอาการหน้ามืดทุกครั้งที่เปลี่ยนท่าทาง

ไอ้ความที่ร่างกายแข็งแรงมาตลอดเนี่ยแหละ เลยไม่รู้ว่ากำลังผจญกับความหน้ามืดอยู่

ดันคิดไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับตู ทำไมจู่ๆตาบอด(วะ)

ไม่รู้ไงว่าไอ้อาการที่จู่ๆวูบไปเนี่ย เขาเรียกว่าหน้ามืด เพราะไม่เคยเป็น และไม่มีอาการวิงเวียน หรือหมดสติแถมมาด้วย คนซื่อ(บื้อ)อย่างเราก็เลยไปหาหมอที่โรงพยาบาลจักษุรัตนิน บอกแล้วว่าคิดว่าตัวเองเกือบตาบอด หมอที่โรงพยาบาลจักษุรัตนินก็แสนดี ตรวจให้เราอย่างละเอียดละออ ทั้งๆที่ถามอาการแล้ว ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกี่ยวกับตา คุณหมอคนสวยบอกว่าให้ไปหาหมอโรคหัวใจ หลังจากตรวจอย่างละเอียดแล้วพบว่าตาเราปรกติ เว้นเสียแต่มีอาการกระจกตาแห้ง โรคเดิมที่หาหมอครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่หายสักที

กว่าจะรู้ว่าตาเราปรกติ ก็โดนหยอดยาไปหลายขนาน แสบตาแทบตาย เพื่อที่จะส่องกล้องดูว่าตาเรามันไม่มีวี่แววจะบอดอย่างที่คิดไว้แต่แรก

เมื่อไม่พบความผิดปรกติในลูกกะตา เลยต้องมาตั้งต้นรักษาใหม่โดยไปพบหมอฝ่ายอายุรกรรม

คราวนี้ไปหาที่โรงพยาบาลพญาไท โชคดีอย่างมากที่ยังใช้บริการของประกันบูพาได้ คุณหมอ(น่าร๊ากกก) เลยจับตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แถมซักอาการละเอียดยิบ ผลปรากฏว่าการเต้นของหัวใจเรามันแปลกๆ วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วก็พบว่ามันมีช่วงผิดปรกติอยู่ คราวนี้เลยโดนจับส่งหมอโรคหัวใจ

พักเอาไว้ตรงนี้ก่อน เนื่องจากพอรู้ตัวว่าหัวใจเรามันผิดปรกติ เลยกลัวขึ้นมา

ไอ้เรามันก็อายุยังไม่เท่าไหร่อะนะ ยังไม่อยากโดนจับตรวจโรคหัวใจหรอก กลัวตายเร็วน่ะ ถ้าหมอบอกเราเป็นโรคหัวใจขึ้นมานี่ จะทำยังไง

ว่าแล้วเลยขอดื้อแพ่ง ยังไม่ไปหาหมอ

ไว้ทำใจได้เมื่อไหร่ค่อยไปหาแล้วกันนะ


No comments:

Post a Comment