Monday, January 28, 2008

ความทรงจำสีจาง

มาคุยเรื่องของเกาหลีกันต่อ

เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้กันหรอกนะ ว่าความรู้สึกผูกพันกับเกาหลีของเรามันไม่ได้เกิดขึ้นตามกระแสนิยมแบบที่เด็กสมัยนี้เห่อเกาหลีกัน แต่มันเริ่มมาตั้งนานแล้ว

เกือบยี่สิบปีมาแล้วแน่ะ

จำได้ว่าตอนสมัยประถม เราเป็นเด็กกิจกรรมพอสมควร
ทางโรงเรยนจัดงานอะไร ก็มักจะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปทำกิจกรรมต่างๆเสมอ
วันหนึ่งทางโรงเรียน 한잔 ส่งจดหมายมาที่โรงเรียน ขอให้ส่งตัวแทนนักเรียนไทยไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศเค้า
ทางโรงเรียนก็ส่งPROFILE เด็กๆไป
ได้รับเลือกซะงั้น


จำได้ว่ามันไม่ใช่การเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก
(ครั้งแรกน่ะ ไปอยู่ตุรกีตอนแปดขวบ !!! แม่ก็ช่างกล้า ส่งลูกไป เนอะ
ไว้วันหลังจะมาเขียนเก็บเอาไว้ ถ้าไม่ลืมซะก่อน )

ตอนนั้น ด้วยอารมณ์เด็ก ยังไงก็อยากไปเที่ยวทั้งนั้นแหละ
รายละเอียดว่าเค้าเลือกใคร ส่งไปยังไงน่ะ จำไม่ได้แล้วเพราะมันนานมาก
เอาเป็นว่าในที่สุด ก็ได้ไปเกาหลีสมใจ

จำได้ว่าเดินทางโดยสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ (ปัจจุบันมันเลิกบินเข้ากรุงเทพแล้ว ไอ้สายการบินนี้)
ไปลงที่สนามบินคิมโป ในเวลานั้นเกาหลียังไม่สนามบินอยู่แห่งเดียว

นี่แหละท่าอากาศยานนานาชาติ คิมโป หรือ 김보 공항

Photobucket

ใครจะคิดว่า 13 ปีถัดมา เราจะได้กลับมาที่คิมโปอีกครั้ง
ไม่ใช่ในฐานะผู้โดยสาร แต่เป็นในฐานะคนที่ทำงานภายในสนามบินแห่งนี้
กลับมาในฐานะลูกเรือ

นี่แหละ ครอบครัวที่เราไปอาศัยอยู่กับเค้าเหมือนเป็นลูกเค้าอีกคน
아빠 อ่านว่า อาปา หรือ คุณพ่อ ชื่อ 김숭억
엄마 อ่านว่า ออม่า หรือคุณแม่ ชื่อ 이후진
언니 อ่านว่า ออนนี่ หรือพี่สาว ชื่อ 김지하
남동생 อ่านว่า นัมทงเซง หรือน้องชาย ชื่อ 김완석

Photobucket


ครอบครัวเกาหลีที่เราไปอยู่กับเขานั้นเป็นครอบครัวเกาหลีที่มีความเป็นเกาหลีอยู่สูงมาก
พ่อทำงานเป็นพนักงานบริษัท แม่เป็นแม่บ้าน
ลูกสองคนเรียนหนังสือที่โรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งที่จริงก็คืออพาร์ทเม้นท์
เพราะคนเกาหลีไม่ค่อยอยู่บ้านกันหรอกค่ะ
ราคาบ้านและที่ดินที่โซลแพงจนคนฐานะธรรมดาอย่างเราๆไม่ซื้อบ้านอยู่กัน

อพาร์ทเม้นท์ของครอบครัวนี้ตั้งอยู่ชานเมืองของกรุงโซล
จะว่าไป มันก็เป็นลักษณะของอพาร์ทเม้นท์ทั่วไปในเกาหลี คือมีตึกที่อยู่อาศัยสูงหลายชั้น
ย่านใกล้เคียงมีร้านค้า สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือป้ายรถเมล์และสถานีรถใต้ดิน
มีโรงเรียนและโรงพยาบาลอยู่ในชุมชนเพื่อเป็นสวัสดิการในคนในชุมชนนั้น
มีบริเวณที่เปิดเป็นร้านอาหาร ทั้งร้านสะดวกซื้อ และร้านอาหารตามสั่ง ถัดไปในซอยมักเป็นร้านหมูกะทะและร้านเหล้า

ไม่รู้ว่าที่เกาหลีมีการวางระบบผังเมือง หรือวางแผนการสร้างเมืองหรือเปล่า
แต่สิบปีให้หลัง เมื่อมีโอกาสได้ไปอยู่เกาหลีอีกครั้ง ก็สังเกตเห็นว่าชุมชนทุกแห่งที่เกาหลี จะมีการวางระบบแบบนี้เหมือนกันทุกที่


เช้าขึ้นมาออม่าจะตื่นแต่เช้า ทำอาหารให้ทุกๆคนในบ้านกิน แล้วจึงทำงานบ้านหลังจากที่ทุกคนออกจากบ้านไปแล้ว

Photobucket


อาหารเช้าที่กินกันบ่อยๆมักเป็นพวกไข่ดาว ไส้กรอกทอด สแปมทอด และอาหารเกาหลีเช่น ปลาตัวเล็กๆ ผักปรุงกับน้ำมันงา และที่ขาดไม่ได้ก็คือกิมจิ
คนเกาหลีมีกิมจิหลายแบบมาก ที่คนไทยกินกันบ่อยๆ จะเป็นกิมจิผักกาด แต่ที่เกาหลี มีกิมจิจากผักอื่นๆด้วย เช่นกิมจิไชเท้า กิมจิแตงกว่า กิมจิต้นหอม หรือแม้แต่กิมจิพริก เราเองก็ไม่เคยลองกินหรอกค่ะ ไอ้กิมจิพริกเนี่ย แต่คิดว่าน่าจะเผ็ดมาก

อาหารเกาหลีจะเน้นเผ็ด แต่ความเผ็ดจะต่างจากอาหารไทย คงเป็นเพราะเครื่องเทศต่างกัน
อาหารไทยจะเผ็ดร้อน มีกลิ่นเครื่องเทศฉุน ในขณะที่อาหารเกาหลีจะไม่ใส่เครื่องเทศที่มีกลิ่นรุนแรงมากเท่าอาหารไทย


Photobucket

โรงเรียนที่เราไปเรียนกับจีฮา คือโรงเรียนใกล้ๆบ้านเขานั่นแหละค่ะ เดินไปเรียนยังได้
นักเรียนทั้งโรงเรียนมีประมาณสามพันกว่าคน นับว่าใหญ่โตเอาการสำหรับโรงเรียนประถม

จำไม่ได้แล้วว่าหลักสูตรที่เค้าเรียนกันเป็นอย่างไร แต่จำได้ว่าเด็กประถมของเกาหลีเค้าเรียนกันสบายๆกว่าเด็กไทยนะคะ
คงจะไปเริ่มเรียนกันดุเดือดตอนเข้ามัธยมไปแล้ว เพราะได้ยินมาเหมือนกันว่าเด็กเกาหลีเรียนกันเครียดกว่าเด็กไทย
ชั้นเรียนเกาหลีที่เคยไปสัมผัส เค้าจะสอนอะไรเกี่ยวกับเรื่องวันในชีวิตประจำนมากกว่า
เขาชอบเน้นกิจกรรมให้เด็กมีส่วนร่วม เน้นให้เด็กลุกขึ้นพูด เน้นให้ออกไปแสดงความเห็นหน้าชั้นบ่อยๆ
แล้วก็ชอบให้มีงานกลุ่ม ชอบให้เด็กทำงานศิลปะเป็นกลุ่มไปแปะตามฝาห้อง (พูดแล้วงง) สรุปคือสำหรับชั้นประถม เค้าจะเน้นให้เด็กรู้จักการทำงาน รู้จักเข้าสังคมมากกว่าให้เรียนกันจริงๆจังๆ

น่าแปลกว่าทำไมพอโตขึ้นแล้วคนเกาหลีนิสัยเข้าสังคมยากก็ไม่รู้
ทำงานกับคนเกาหลีกี่คนๆ ก็เป็นพวกประหลาด เข้าสังคมยาก แถมยังเห็นแก่ตัวอีกต่างหาก

อ้อ ! แต่ก็ยอมรับค่ะ ว่าคนเกาหลีทำงานเก่งจริงๆ ทีมเวิร์คเค้าเก่งกันมากๆ
ทำงานกับเกาหลีมาสามปีกว่า ยังได้นิสัยการทำงานเป็นทีมเวิร์คกลับมาเลย


Photobucket

วอนซ็อก น้อชายตัวน้อยชาวเกาหลี
ตอนนั้นวันซ็อกอายุประมาณ 6 ขวบ ยังเด็กมาก แล้วก็ซน ชอบแกล้งเรา ซึ่งเป็นพี่สาวต่างชาติ
ไม่รู้คนที่เป็นน้องชายมันชอบแกล้งพี่แบบนี้ทุกคนรึเปล่า เพราะทุกวันนี้เราก็หัวหมุน เพราะโดนเจ้าเด็กยักษ์แกล้งเอาบ่อยๆ
ถึงจะแกล้งแซว แต่มันก้อคือแกล้ง ใช่ไหมล่ะ
T_T

เราเองไม่ค่อยได้คุยอะไรกับวอนซ็อกมากนัก คงเป็นเพราะตอนนั้นกลัวเด็กผู้ชาย วางตัวไม่ค่อยจะถูก แถมยังพูดกันไม่รู้เรื่อง
แค่โดนแกล้งทุกวันก็จะแย่อยู่แล้ว
แต่ก็ยังจำความน่ารักของเค้าได้จนถึงทุกวันนี้
จำได้ถึงวันที่ร้องไห้คิดถึงบ้าน แล้วน้องชายตัวน้อยเดินเข้ามากอด พูดแค่ว่า Don't cry. แค่นี้ก็รู้สึกดีมากๆ
ไม่รู้ว่าเราต่างจากเค้ามากรึเปล่าเวลาเราทำอะไร เค้าก็จะสนอกสนใจเรา เดินตาม ดูเราทำอะไร แล้วก็ไปเล่าให้พีสาวกับแม่ฟัง


Photobucket

ส่วนจีฮา พี่สาวชาวเกาหลี อายุไล่เลี่ยกัน เวลาไปโรงเรียนก็นั่งเรียนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน กลับด้วยกัน
เลยสนิทกว่าวอนซ็อค อารมณ์เหมือนเพื่อนผู้หญิง คุยกันกุ๊กกิ๊กๆมากกว่า
เวลาไปโรงเรียน แล้วเรากินอาหารไม่ได้ ก็จะได้จีฮาคอยแบ่งอาหาร แบ่งขนมให้
เราชอบกินผลไม้ จีฮาก็จะคอยแบ่งให้ตลอด เพราะเค้ารู้ว่าเรากินอาหารเกาหลีไม่ค่อยได้
เวลาเราคุยกับเด็กเกาหลีคนอื่นๆในห้องเรียนไม่เข้าใจ จีฮาก็จะช่วยอธิบายให้ฟัง
ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ไม่ได้พูดเกาหลีเก่งอะไร แค่พอคุยกับเค้าได้

ทำไมโตขึ้นแล้วไอ้ที่เคยคุยได้เป็นเรื่องเป็นราว มันหายไปหมดเลยก็ไม่รู้
ทุกวันนี้ skill ภาษาเกาหลี เข้าขั้นพิการ
ดูหนังฟังเพลงไม่รู้เรื่อง เฮ้อ !

Photobucket

อาปา หรือคุณคิมซุงอ็อค เป็นคนเงียบๆ พูดน้อย แต่ดื่มหนัก
ไม่ค่อยได้สนิทกับเค้าเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกัน
จำได้แต่ว่าเค้าชอบดูกีฬา โดยเฉพาะมวย เบสบอลและฟุตบอล ซึ่งทั้งสามอย่างนี้ เราดูไม่เข้าใจสักอย่าง
เวลาค่ำๆ อาปากลับมาบ้าน ออม่าก็จะทำอาหารว่างง่ายๆไปวางให้เค้าหน้าทีวี
แล้วเค้าก็จะดูทีวีเอาเป็นเอาตาย จนกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น
หลังอาหาร เค้าก็นั่งคุยกันกับออม่าสองคน ไม่รู้คุยกันเรื่องอะไร เพราะตอนนั้นเราก็เด็กมากเกินกว่าที่จะสนใจเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกัน

เท่านี้จริงๆ ที่เราพอจะจำได้


แปะอีกรูป จำได้ว่าเป็นวันหยุดสักอย่าง แล้วทางโรงเรียนก็พาเด็กไทยที่ไปด้วยกันคราวนั้นไปเที่ยวสวนสนุกโซลแลนด์
กลับไปเกาหลีอีกครั้ง สวนสนุกนี้สูญพันธุ์ไปซะแล้ว !!!
คงพบชะตากรรมเดียวกันกับสวนสยาม หรือแดนเนรมิตนั่นแหละ

Photobucket

เด็กเกาหลีสมัยนี้ ถ้าพูดถึงโซลแลนด์ คงไม่มีใครรู้จัก เพราะเค้าจะเน้นไปเที่ยวเอเวอร์แลนด์กันมากกว่า


แปะรูปเอเวอร์แลนด์ซะหน่อย
เปรียบเทียบกัน

ตอนนั้นไปกับยัยเพื่อน

Photobucket

ส่วนคนนี้ พี่สาวชาวเกาหลีอีกคน เธอชื่อ 양조진
จำไม่ได้จริงๆว่าทำไมตอนนั้นถึงได้มีโอกาสไปนอนเป็นลูกบ้านนั้นอยู่สามวัน
แต่เพราะไม่ได้เอากล้องไปถ่ายรูปที่บ้านเค้า แล้วเค้าเองก็เป็นคนเงียบๆ
เลยไม่ได้คุยอะไรกันมาก แล้วก็ลืมเรื่องราวในช่วงสามวันนั้นไป
แต่ก็จำได้ว่าออม่าบ้านนั้นใจดีมากกกกกกกกกกกกกกก

นี่คือรูปพี่โชจินตอนที่เค้ามาเที่ยวเมืองไทย ประมาณหนึ่งปีหลังจากที่เรากลับมาจากเกาหลี

Photobucket

ทั้งจีฮาและพี่โชจินมาเที่ยวเมืองไทยพร้อมๆกัน แต่ทำไมเราจำรายละเอียดช่วงนั้นไม่ได้เลยก็ไม่รู้
คงเป็นเพราะหลังจากกลับจากเกาหลี เราก็มัวแต่วุ่นวายเรียนพิเศษตอนมอหก เพราะจะไปสอบเข้าโรงเรียนหอวัง
แล้วช่วงนั้นก็ได้เป็นตัวแทนไปสอบแข่งขันอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ
พอจีฮาและพี่โชจินมาไทย เลยไม่ค่อยได้อยู่กับเค้า ทิ้งให้พ่อกับแม่ดูแลพี่สาวเกาหลีทั้งสองคนนี้ไป

แก้ตัวย้อนหลังว่า ตอนนั้นเราเป็นเด็ก เลยไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนั้น

แปะอีกรูป ที่เคยถ่ายคู่กับพี่โชจิน
ตอนนั้นเค้าพาเราไปเที่ยวเคียงบ็อคกุง หรือพระราชวังเคียงบ็อค
สิบกว่าปีผ่านไป เราได้กลับไปที่นั่นอีกหลายครั้ง
กลับไปกี่ครั้ง เคียงบ็อคกุงก็ยังหน้าตาเหมือนเดิมเรย
^_^'

Photobucket


และหลังจากที่จีฮาและพี่โชจินกลับเกาหลีไปคราวนั้น
เราก็ไม่ได้เจอกับพวกเค้าอีกลย
ไม่มีการติดต่ออะไรอีกเลย
เพราะครอบครัวเกาหลีทั้งสองบ้านนี้ เค้าไม่พูดภาษาอังกฤษกัน เขียนจดหมายคุยกับเราไม่ได้
พอจีฮาและพี่โชจินจบปอหก ออกจากโรงเรียนนั้นไป ก็ไม่มีคุณครูคอยช่วยเขียนจดหมายตอบโต้ให้เรา
อินเตอร์เน็ท อีเมล MSNไม่ต้องพูดถึง
สมัยนั้นไม่มีใครรู้จักสักคน
การโทรศัพท์ไปเกาหลีเป็นสิ่งที่แพงมาก

ชีวิตเราก็กลับมาวุ่นวายกับการย้ายโรงเรียนไปเรียนในกรุงเทพฯ
ไปเจอสังคมใม่ๆ ไปเจอเพื่อนใหม่ๆ
เรื่องราวของพี่จีฮา ก็ค่อยๆเลือนไปตามกาลเวลา
แต่ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่จะลืมพี่สาวคนนี้


กลับมาดูรูปพวกนี้อีกกี่ครั้งก็ยังรู้สึกดีเสมอ
ครั้งหนึ่ง เราเคยมีพี่สาว น้องสาว และน้องชายร่วมโลก
แค่โลกหมุนให้เรามาเจอกัน แม้ว่าวันหนึ่ง มันจะผ่านไปแล้วไม่หวนคืนมาอีกเลย

ทุกวันนี้ ถ้าเราเดินสวนผ่านกันไป เราคงจะจำจีฮาไม่ได้อีกแล้ว
คิดแค่นี้ ก็รู้สึกเจ็บปวดนะ
ไม่รู้ว่าจีฮาจะยังจำเราได้ไหม
ลืมวันเวลาอันแสนสนุกที่เคยมีด้วยกันไปหรือยัง
หรือว่าลืมเราไปแล้ว

จีฮาจะรู้บ้างไหม

ทุกครั้งที่มีโอกาส เราหาทางกลับไปที่เกาหลีเสมอ
ตอนอยู่ปีสี่ มีงานประชุมที่เกาหลี ก็ยอมขาดสอบมิดเทอม เพื่อกลับไป
หลังเรียนจบ สมัครงานเข้าทำงานกับเอเชียน่า ทั้งๆที่ได้งานที่อื่นด้วย
เพราะอยากกลับไปเกาหลี ไปตามหาพี่สาวที่แสนดีอีกครั้ง
ที่อยู่เก่าที่เราเคยไปอยู่กับเค้า ไม่มีจีฮาอีกแล้ว
ทั้งจีฮา และพี่โชจิน ย้ายบ้านกันไปทั้งคู่
คนที่อยู่ในอพาร์ทเม้นท์แถวนั้น ไม่มีใครรู้จักจีฮาสักคน
ทั้งๆที่โรงเรียนฮันชันยังอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม
คุณครู และผู้คนที่เราเคยเจอ หายไปหมด
ไม่มีใครสักคนที่อยู่ที่เดิม ให้เราตามหา

รู้ว่าเธอยังอยู่บนโลกกลมๆใบนี้
โลกที่ว่ากลม บางทีก็ไม่กลมเสมอไปหรอกนะ

คิดถึงเธอที่สุดนะจ๊ะ...คนดี


Photobucket

같은 하늘 아래 살아도
อยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน
다시는 못 볼 사람
ก็ไม่ได้พบกันอีกแล้ว

.......

우리 평생을 살아가는 동안
ชั่วชีวิตของเราทั้งคู่
만날 순 없겠지만
ไม่ต้องเจอกันอีกเลยก็ได้
이토록 사랑했던 나를..
แต่ความรักของฉัน
잊지는 말.. 아요...
อย่า..ลืม...


No comments:

Post a Comment